TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “萨尔布吕肯大学 Mechanical Engineering Degree Certificate{官网:bzw985.com}-哪里买萨尔布吕肯大学 Mechanical Engineering Degree Certificate<网址:zjw211.com>-灯塔萨尔布吕肯大学 Mechanical Engineering Degree Certificate哪里做-哪里办萨尔布吕肯大学 Mechanical Engineering Degree Certificatesj” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
รีวิว สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” หรือ “Mechanical Engineering” เรียนอะไรบ้าง? จบมาทำงานอะไรได้บ้าง?
ภาพหน้าปกจาก: Pixabay / MustangJoeรีวิว สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” หรือ “Mechanical Engineering” เรียนอะไรบ้าง? จบมาทำงานอะไรได้บ้าง?สวัสดีครับ น้องๆ ทุกๆ ท่าน ที่กำลังจะเตรียมตัวเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งหลาย หลายๆ คน ตอนนี้คงกำลังจะตัดสินใจใช่ไหมครับว่า จะเลือกเรียนต่อ ในสาขาวิชาอะไรดี และหนึ่งในสาขาวิชาที่ นิยมมากๆ ในบ้านเรานั้นก็คือ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsสาขาวิศวกรรมศาสตร์ ก็จะมีอยู่หลากหลาย สาขาวิชา เช่น ไฟฟ้า, โยธา, อุตสาหการ, สิ่งแวดล้อม และ อื่นๆ มากมาย แต่ที่ผมจะมาพูดถึงในวันนี้ นั้นก็คือ “วิศวกรรมเครื่องกล” หรือ “Mechanical Engineering” สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” หรือ “Mechanical Engineering” เป็นสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่เก่าแก่ สาขาหนึ่งเลยทีเดียว เป็นสาขาวิชาที่มีมานานมาก ตั้งแต่สมัยโบราณเนื่องจากว่า คนสมัยก่อนต้องมีการสร้างเครื่องจักรกล ต่างๆ ในการใช้ชีวิตประจำวัน นั้นเองภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsน้องๆ หลายๆ คน คงจะเข้าใจว่า สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” นั้น คงจะทำการเรียนเกี่ยวกับการสร้างเครื่องจักรกล หรือ หุ่นยนต์ หรือ พวกที่เป็นเครื่องยนต์ต่างๆ ใช่ไหมครับ น้องๆ หลายๆ คน คงคิดว่าถ้าหากเรียนจบสาขาวิชานี้แล้ว คงได้ไปทำงานเกี่ยวกับการสร้างเครื่องจักร ต่างๆ หรือ อุตสาหกรรมยานยนต์ ใช่ไหมครับ ผมจะบอกว่า น้องๆ เข้าใจถูกแล้วครับ แต่อาจจะยังไม่ถูกทั้งหมดนะครับ สำหรับ สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” นั้น มีมากมาย แบ่งย่อยออกไปได้อีกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับความสนใจ ตอนที่เราเลือกเรียนนั้นเองครับก่อนอื่น ผมขออธิบายถึงรายละเอียดของ สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” แบบสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ให้ทราบก่อนนะครับสาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” เป็นสาขาวิชาที่นำความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ และ ฟิสิกส์ มาประยุกต์ใช้ ในการออกแบบ และวิเคราะห์ ระบบ Mechanics, ระบบ Fluid Mechanics, ระบบ Thermodynamics, ระบบ Dynamics, ระบบ kinetics และ ระบบ Energy เพื่อทำการปรับปรุงพัฒนา ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ภายใต้เงื่อนไขต้องใช้งบประมาณที่น้อยที่สุด และที่สำคัญคือต้องปลอดภัย นั้นเอง ครับผม ภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมคิดว่า สำหรับน้องๆ ที่จะสามารถเรียน สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” ได้ แบบสบายๆ ไม่ต้องเหนื่อยมาก น้องๆ ต้องมีพื้นฐานทางด้านคำนวณมากพอสมควร เช่น คณิตศาสตร์ หรือ ฟิสิกส์ เป็นต้น สำหรับมหาวิทยาลัยที่ทำการเปิดการเรียนการสอนใน สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” นั้น ก็มีมากมาย หลายแห่ง ทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ และ เอกชน น้องๆ สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดของหลักสูตรการเรียนการสอน ของแต่ละแห่งได้เลยนะครับ ตามเว็บไซต์ ของแต่ละสถาบันได้เลยสาขาอาชีพที่ สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” สามารถเข้าไปทำงานได้นั้น ก็สามารถทำได้ในเกือบทุก สายงานเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น โรงงานอุตสาหกรรม, โรงไฟฟ้า, โรงกลั่นน้ำมัน, โรงแรม, โรงพยาบาล, การประปา, โรงงานพลังงาน และ อื่นๆ อีกมากมาย หรือถ้าหากใครต้องการที่จะไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ก็สามารถทำได้ อาจจะไปเปิดรับติดตั้งระบบแอร์, เปิดอู่ซ่อมรถยนต์, รับติดตั้งระบบ หรือ อื่นๆ เป็นต้นภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsสำหรับเงินเดือน เริ่มต้นของ สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” ของน้องๆ ที่เรียนจบใหม่ๆ ที่ยังไม่มีประสบการณ์เลย เงินเดือนจะเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 22,000 – 28,000 บาท เลยทีเดียว ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนด้วยนะครับในความคิดเห็นของผมเอง สาขาวิชา “วิศวกรรมเครื่องกล” เป็นหนึ่งในสาขาวิชาทางสาย วิศวกรรมศาสตร์ ที่หางานได้ง่าย สาขาหนึ่งเลยทีเดียว และยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานอยู่เสมอ ยังไง ถ้าหากน้องๆ สนใจ ก็ถือว่าเป็นสาขาที่ดีเลยทีเดียว ตั้งใจมุ่งมั่น สอบให้ได้กันทุกๆ คน นะครับผม ขอบคุณมากๆ ครับภาพหน้าปกจาก: Pixabay / MustangJoeภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจาก: Pixabay / RAEng_Publications เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WANDIntelligence • 10 มิ.ย. 64
อ่าน
Teen Engineering เปิดตัวเครื่องบันทึกเสียงหน้าตาคล้ายกับเทปคาสเซ็ต ราคา 1,499 ดอลลาร์
Teen Engineering บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชื่อดังประเทศสวีเดน เปิดตัวเครื่องบันทึกเสียงภาคสนาม TP-7 ซึ่งได้รับการออกแบบมาคล้ายคลึงกับเทปคาสเซ็ต ใช้สำหรับบันทึกเสียงสัมภาษณ์ บันทึกเพลง และเสียงทุกประเภทด้วยการใช้งานที่ราบลื่นในคุณภาพสูงสุด เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของซีรีส์อุปกรณ์ภาคสนามรวมถึง synthesizer OP-1 และ mixer TX-6 ที่ได้เปิดตัวก่อนหน้านี้ในปีที่แล้ว เครื่องบันทึกเสียง TP-7 นั้นมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับไพ่หนึ่งสำรับทำให้สามารถถือในมือได้อย่างสบาย ๆ มี ม้วนเทปแบบใช้มอเตอร์อยู่ตรงกลางของเครื่อง เป็นฟังก์ชั่นใช้สำหรับหยุดการบันทึกชั่วคราวและไปยังเมนูฟังก์ชั่นต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีปุ่มโยกที่ด้านซ้ายของเครื่องที่สามารถใช้เพื่อย้อนกลับหรือกรอไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยปุ่มด้านล่างที่เปลี่ยนโหมดการบันทึกได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าเครื่องบันทึกเสียงจะมีไมโครโฟนในตัวอยู่แล้วก็ยังสามารถเสียบไมโครโฟนภายนอกผ่านแจ็ก 3.5 มม. ได้ พอร์ตการเชื่อมต่อ สเปกอื่น ๆ การถอดไฟล์เสียงขณะบันทึกเสียงผ่านสมาร์ตโฟน TP-7 มีพอร์ต USB-C ที่สามารถใช้เพื่อถ่ายโอนข้อมูลหรือชาร์จ หากใช้อุปกรณ์นี้ในการสัมภาษณ์สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone ผ่านพอร์ต USB-C หรือผ่านบลูทูท แล้วเปิดแอปเพื่อถอดไฟล์เสียงสัมภาษณ์โดยอัตโนมัติ สามารถใช้งานได้นานถึง 7 ชั่วโมง มีลำโพงและไมโครโฟนในตัว มีพื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 128GB ราคา เครื่องบันทึกเสียง TP-7 มีราคา 1,499 เหรียญสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของ Teenage Engineering ที่มา yahoo news, Theverge
แบไต๋ • 18 พ.ค. 66
อ่าน
Review การลงเรียน Coursera ฟรีและได้ Certificate มา 8 ใบ โดยใช้เวลาว่างใน 2 เดือน
สวัสดีค่ะ เนื่องจากช่วงนี้ หลายๆท่านส่วนใหญ่มีเวลาเพิ่มขึ้น คงจะกำลังเบื่อๆเพราะออกไปเที่ยวข้างนอกก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเท่าที่ควรบางท่านอาจกำลังมองหากิจกรรมทำ วันนี้ซันเดย์ เลยจะขอแนะนำกิจกรรมยามว่าง ที่เพิ่มพูนทักษะของเรา ยกระดับโปรไฟล์เราไปอีกขั้นอย่างการลงเรียนคอสเรียนออนไลน์บน www.coursera.org นั่นเอง ซึ่งมีหลากหลายหลักสูตรจากสถาบันระดับโลกเปิดให้เรียนเมื่อเราเรียนจบแล้วก็จะได้ Certificate มาการันตีอีกด้วย แต่จะต้องมีค่าใช้จ่ายของแต่ละหลักสูตรประมาณ 1,500 บาทขึ้นไปส่วนบางหลักสูตรก็เปิดให้เราลงเป็น Audit Course ก็คือ เราสามารถลงเรียนเพื่อเอาความรู้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เราก็จะไม่ได้รับ Certificate นั่นเองแต่ที่ซันเดย์ลงเรียนมา คือได้ลงเรียนพร้อมกับได้รับ Certificate โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายเลยค่ะเพียงแค่เราเลือกหลักสูตรที่เปิดเป็น Specialization แล้วเรียนแบบ 7-Day Free Trail คือเรียนให้จบภายใน 7 วันค่ะ ซันเดย์เลยอยากจะมาแบ่งปันแนวทางการลงเรียนแบบนี้กันนะคะ 1.การลงทะเบียนเป็นสมาชิกบนเว็บไซต์ www.coursera.org เราสามารถลงทะเบียนได้หลายรูปแบบ โดย ซันเดย์เลือกลงทะเบียนผ่าน Facebook นะคะ เนื่องจากสะดวกที่สุดสำหรับซันเดย์ค่ะ Credit : www.coursera.org 2.เมื่อเรา Log In เข้าไปแล้ว ก็จะเจอหลักสูตรมากมาย หลากหลายหมวดหมู่นะคะ แต่ที่เราจะสามารถลงใช้ 7-Day Free Trail ได้ จะเป็นหลักสูตรที่ระบุว่าเป็น Specialization โดยก่อนอื่นเราต้องเข้าไปลง Payment Method ไว้ด้วยนะคะ ซันเดย์จะลงไว้เป็นการตัดบัตรเดบิตค่ะ ที่เลือกบัตรเดบิตเพราะ ถ้าเราไม่มีเงินในบัญชีระบบก็ยังตัดบัตรเราไม่ได้ค่ะ เป็นการป้องกันตอนที่เราเผลอกดหลักสูตรที่ต้องชำระเงิน ณ ตอนนั้นนะคะ Credit : www.coursera.org 3.พอเราเจอหลักสูตรที่เราสนใจ และเปิดเป็น Specialization ก็เลือกกดเข้าไปดู จากนั้นให้เรากด Enroll For Free ก็จะขึ้นรายละเอียดของหลักสูตร โดยมีระบุว่า 7-Day Free Trail และ Certificate When You Complete นะคะ จากนั้นเราก็เลือก Start Free Trail เรากจะเริ่มเรียนได้เลยค่ะ Credit : www.coursera.org 4.วิธีการเรียนก็จะมีหลายรูปแบบนะคะ จำนวนสัปดาห์ที่เขาลงไว้มีตั้งแต่ 3 สัปดาห์ถึง 8 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับเนื้อหา โดยแต่ละหัวข้อหรือแต่ละสัปดาห์ พอเราเรียนเสร็จก็จะมี Quiz ให้เราทำให้ผ่านเกณฑ์ที่เขาระบุไว้ รวมทั้ง Peer Assignments ที่เราจะต้องทำงานส่ง โดยให้เพื่อนร่วมหลักสูตรเข้ามารีวิวและให้คะแนน ทั้งหมดนี้ เราจะต้องเร่งเรียนให้ครบภายใน 7 วัน ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของเราค่ะ 5.เมื่อเราเรียนไปจนครบ พร้อมกับ Quiz และทำ Assignment ผ่าน ระบบก็จะขึ้น Congratulation ที่เเปลว่าเราเรียนจบแล้ว จากนั้นเราก็เลือกรับ Certificate ได้เลยค่ะCredit : www.coursera.org 6.ขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญคือ เมื่อเราได้รับ Certificate แล้ว ก็ต้องเข้าไปกด Cancel หลักสูตร ที่ My Purchase ออกนะคะ เพียงเท่านี้เราก็เรียนจบพร้อมได้รับ Certificate โดยที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเลยค่ะ ทั้งนี้ หลังจากที่เรายกเลิก Certificate ของเรายังไม่หายไปไหนนะคะ ยังคงเข้าไปดูหรือ Download ได้ตลอดค่ะ เป็นไงกันบ้างคะ หวังว่าบทความนี้ก็จะมอบคุณค่าให้ผู้อ่านได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะ หากใครที่ลองเเล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างก็กลับเข้ามาแชร์กันได้นะคะ
Sunday's Rainy • 14 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิว Mechanical Keyboard - LOGA
เพิ่งเข้าวงการคีย์บอร์ดได้ไม่นานเลยอยากมารีวิว คีย์บอร์ด 2 ตัวที่เราซื้อมาจากแบรนด์ LOGA ผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วยค่ะ LOGA (โลกา) เป็นแบรนด์คีย์บอร์ดจากคนไทย โดยคุณอรรถวุฒิ เสริมเลขาวิลาศ โดยแบรนด์มุ่งเน้นให้เด็กไทยได้ใช้คีย์บอร์ดเกมมิ่งเกียร์คุณภาพดี ในราคาประหยัด คีย์บอร์ดสื่อความเป็นไทยในการตั้งชื่อและตัวสินค้าต่างๆ แบรนด์ไม่ได้ขายแค่คีย์บอร์ดแต่ยังมีคีย์แคป (keycap) เม้าส์ (mouse) ที่รองเม้าส์ (mousepad) เก้าอี้และอุปกรณ์เสริมต่างๆตัวนี้คือรุ่น LOGA RAVANA 2 : SIRIMONGKOL EDITION เราได้มาจากงาน Commart ที่ผ่านมา เป็นคีย์บอร์ด 98% ใช้ได้ทั้ง Windows และ Mac มีสวิชให้เลือก 2 แบบ คือ นมเย็น (Linear) และ ชาไทย (Tactile) เราเลือกสวิชชาไทยมาเพราะลองกดแล้วชอบเสียงตอนอยู่บนรุ่นนี้ คีย์แคปเด้งสู้มือ มีน้ำหนักแต่ไม่เท่าอีกรุ่น มีไฟลอด ในงานเราได้โค้ดลดอีก 20% เหลือประมาณ 2,952 บาท จากราคาเต็ม 3,690 บาท ในงานคอมมาร์ทแถมคีย์แคป LOGA METALLIC KEY CAP SERIES: SIRIMONGKOL มาให้ด้วย (ตัวปุ่ม esc) ราคา 349 บาท ตัวนี้เราซื้อคีย์แคปมาเปลี่ยน เป็นรุ่น LOGA X PIMDIT: THAI MUTELU KEYCAP SET เซทนี้จะให้มาแค่คีย์แคป 129 ตัว ราคา 1,790 บาท มีอักษรทั้งไทยและอังกฤษ ลายน่ารักมากๆ เน้นสีม่วงผสมผสานสีอื่น สดใส โดดเด่น ตัวนี้คือ LOGA YAKSA 65AL Aluminium Wireless Mechanical Keyboard รุ่นนี้ถือว่าหนักเลย ไม่สะดวกต่อการพกพา เพราะเป็นอลูมิเนียม เราเลือกสวิชนมเย็น (Linear) มา เสียงเพราะมากกกก แต่เป็นโมเดล 65% อาจจะใช้ไม่สะดวกเท่ารุ่นที่แล้วที่มี numpad และปุ่ม F1-F10 มาให้ แต่เราซื้อตัวนี้เพราะเสียงและสี สีน่ารักมากๆ ชื่อสีว่า Vanilla Caramel Biscuits มีไฟลอดปรับได้หลายสี ตัวนี้เราซื้อในแอปส้ม เลือกร้านที่มีโค้ดคุ้มทุกวันอังคาร เลือกลด 20% และใช้ coin ที่มีอีกประมาณ 500 coins เสร็พสรรพเหลือ 2,977 บาท ผ่อนได้ 3 เดือนและได้ E-Tax อีกด้วย ถือว่าคุ้มค่ามากๆ เครดิตภาพโดยผู้เขียน TheOnlySunshineเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
TheOnlySunshine • 31 ม.ค. 67
อ่าน
Pre-degree ม.ราม
การเรียน Pre-degree คืออะไรรู้จัก Pre-degree ม.รามคำแหงโดยที่ระบบ Pre-degree เป็นการเรียนรายกระบวนวิชาเก็บหน่วยกิตที่ได้สะสมไว้เทียบโอน เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ทำให้น้อง ๆ สามารถเรียนจบปริญญาตรีได้เร็วยิ่งขึ้น และในบทความนี้ แคมปัส-สตาร์ จะพาน้อง ๆ ทุกคนไปทำความรู้จักกับระบบ Pre-degree กันให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงเรื่องกำหนดการสอบ ค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการเรียน และข้อดีของการเรียน Pre-degree ที่จะช่วยทำให้เราสามารถพัฒนาตนเองได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยPre-degree คืออะไร?สำหรับการเรียนระบบ Pre-degree เป็นการเรียนปริญญาตรีล่วงหน้า โดยที่น้อง ๆ จะต้องใช้วุฒิการศึกษาชั้น ม.3 และจะต้องกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้น ม.ปลาย ปวช. ปวส. หรือ กศน. จากนั้นเมื่อน้อง ๆ เรียนจบในระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 ก็จะสามารถเทียบโอนหน่วยกิตที่สะสมเอาไว้ไปเรียนในภาคปกติของมหาวิทยาลัยได้ มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีหลักสูตรที่เปิดสอนในระบบ Pre-degree ดังต่อไปนี้คณะนิติศาสตร์คณะบริหารธุรกิจคณะมนุษยศาสตร์คณะศึกษาศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์คณะรัฐศาสตร์คณะเศรษฐศาสตร์คณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คณะสื่อสารมวลชน(ขอบคุณภาพจาก https://campus.campus-star.com/education/33544.html) เปิดรับสมัครเวลาสอบ ทางมหาวิทยาลัยรามคำแหงจะจัดการสอบหลังจากที่โรงเรียนปิดเทอมแล้ว โดยได้แบ่งออกเป็น 2 ภาคเรียน ได้แก่ภาคเรียนที่ 1 สอบประมาณเดือนตุลาคมภาคเรียนที่ 2 สอบประมาณเดือนมีนาคมเอกสารที่จะต้องนำมายื่นในวันสมัครหนังสือสำคัญแสดงคุณวุฒิสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3)สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 2 ฉบับสำเนาบัตรประชาขน หรือบัตรหน่วยงานราชการออกให้ จำนวน 3 ฉบับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลง ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ให้ถ่านสำเนา จำนวน 2 ฉบับใบสมัครและใบขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษา (ม.ร.2.) พร้อมติดรูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว จำนวน 1 รูปแผ่นระบายระเบียนประวัตินักศึกษา (ม.ร.25)**หมายเหตุ ไม่อนุญาตให้ใช้สำเนาหนังสือรับรองว่ากำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายมาสมัครค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการเรียนค่าสมัครเข้าศึกษา 500 บาทค่าขึ้นทะเบียนเข้าศึกษา 300 บาทค่าบัตรประจำตัวนักศึกษา 60 บาทค่าบำรุงมหาวิทยาลัย 300 บาทค่าลงทะเบียนเรียนหน่วยกิตละ 50 บาท (จำนวนเงินขึ้นอยู่กับหน่วยกิตที่ลงทะเบียน)วิธีการเรียนเรียนจากห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงตำราอิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (www.lib.ru.ac.th)ด้วยระบบบรรยายสดผ่านอินเทอร์เน็ต (Cyber Classroom)เรียนด้วยระบบ E-Learningเรียนด้วยระบบ Coures On Demandเรียนจาก DVD บันทึกคำบรรยายกระบวนวิชาเกณฑ์การให้คะแนนส่วนเกณฑ์การให้คะแนนของการเรียนการสอนในแบบ Pre-degree ส่วนใหญ่จะใช้เป็นคะแนนสอบ 100% โดยแบ่งเป็นเกรดเหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วไป แต่ในบางรายวิชาก็อาจจะมีการมอบหมายงานจากอาจารย์ผู้สอนให้ไปทำงานมาส่ง เพื่อทำการเก็บคะแนนจากงานอีกด้วย เนื่องจากคนที่สมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยรามคำแหงสามารถเลือกได้ว่าจะเข้ามาเรียนหรือไม่เข้ามาเรียนก็ได้ แต่ต้องเข้ามาสอบให้ครบทุกวิชา และในปัจจุบันมหาวิทยาลัยรามคำแหงก็ได้ทำการเปิดการเรียนการสอนในวันเสาร์-อาทิตย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นน้อง ๆ จึงสามารถที่จะเลือกเรียนได้ว่าจะเรียนแบบไหน ตามที่เราสะดวกหรือว่าได้เลยข้อดีของการเรียน Pre-degreeทำให้น้อง ๆ จบปริญญาตรีเมื่ออายุยังน้อยและมีทางเลือกอีกมากมายในการศึกษาต่อ หรือเลือกที่จะประกอบอาชีพก็ได้ช่วยเสริมการเรียนในระดับ ม.ปลาย ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นช่วยให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ทำให้น้อง ๆ สามารถพัฒนาตัวเองได้มากยิ่งขึ้น และการเรียนในแบบ Pre-degree ยังช่วยทำให้น้อง ๆ เรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้นในระดับ ม.ปลาย อีกด้วยการเรียน Pre-degree แบบออนไลน์ ทำให้น้อง ๆ มีอิสระในการเรียนรู้มากยิ่งขึ้น เพราะสามารถที่จะย้อนฟังวิชาที่อาจารย์สอนซ้ำได้แบบอย่างรุ่นพี่จบ Pre-degree ประสบความสำเร็จในวิชาชีพ(ขอบคุณภาพจาก https://www.ru.ac.th/th/Predegree/index2) เปิดใจนักเรียน ม.ปลาย... ทำไมเรียน Pre-degree(ขอบคุณภาพจาก https://www.ru.ac.th/th/Predegree/index2)มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของลูกพ่อขุนไปด้วยกันนะ#พี่ที่แสนดีขอบคุณข้อมูล: https://campus.campus-star.com/education/63297.html
นกเค้าแมว • 27 พ.ค. 63
อ่าน
CSWA Certificate ที่คนใช้ Solidworks ควรมี
ในช่วงสุดท้ายของการเรียนมหาวิทยาลัยหลายๆท่านอาจมีความรู้สึกวิตกกังวลว่าหลังจากที่เรียนจบไปแล้วเราจะมีงานทำกันไหม โปรไฟล์ของเราจะตอบโจทย์สายงานที่เราอยากจะเข้าไปทำหรือเปล่า ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งคนที่มีความรู้สึกแบบดังกล่าว จึงเป็นที่มาของความคิดที่จะต้องหาทักษะติดตัว ด้วยความที่เรียนคณะวิศวกรรม ทักษะหนึ่งที่สำคัญและควรมีนั่นก็คือทักษะการเขียนแบบโดยคอมพิวเตอร์ เด็กวิศวะจะทราบกันดีว่ามีไม่กี่โปรแกรมที่เราใช้เขียนแบบกัน ซึ่งโปรแกรมที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในสถาบันการศึกษา(มีการเรียนการสอน) และในสถานประกอบการต่างๆนั่นก็คือ โปรแกรม Soidworks นั่นเอง ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถเขียนแบบได้ทั้ง 2 มิติ และสร้างโมเดลในรูป 3 มิติได้อย่างง่ายดาย หลายๆองค์กรจึงมีการซื้อ License สำหรับใช้งานภายใน และค้นหาบุคลากรที่สามารถใช้งานโปรแกรมดังกล่าวได้ แต่ผู้อ่านหลายท่านคงทราบดีว่าในทุกวันนี้การรับพนักงานใหม่เข้าทำงานในหลายองค์กรในปัจจุบันนี้ เริ่มเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ที่นอกจากจะดูแค่เกรดเฉลี่ยที่จบการศึกษาของผู้สมัครเป็นเกณฑ์แล้วในกรณีที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานตรง ก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งที่ HR จะมองหาด้วยนั่นก็คือ ใบรับรองความสามารถ หรือ Certificate นั่นเอง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยรับรองว่าเรานั้นสามารถทำงานได้จริง และจะดีแค่ไหนหาก Certificate ดังกล่าวถูกรับรองภายใต้ Product นั้นๆรูปภาพโดย: ผู้เขียน ใบรับรองที่ผู้เขียนกำลังกล่าวถึงอยู่นั้นมีชื่อว่า CSWA ที่่ย่อมาจากคำว่า Certified SOLIDWORKS Associate ซึ่งเป็นใบรับรองพื้นฐานที่สุดสำหรับผู้ใช้งานโปรแกรม Solidworks และเหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปต้องการใบรับรองคุณวุฒิจากทาง Solidworks เพื่อใช่ในการแข่งขันสมัครงาน ให้มีความโดดเด่นมากกว่าผู้สมัครท่านอื่น ในฐานะที่ผู้เขียนเคยผ่านการสอบดังกล่าวมาแล้วนั้นจึงอยากแบ่งปันประสบการณ์และแนวข้อสอบให้กับผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกัน โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ของ Solidworks นั่นเองรายละเอียดและวิธีการการสมัครสอบสามารถกดที่ลิงค์นี้ https://www.solidworks.com/sw/support/796_ENU_HTML.htm และทำตามขั้นตอนที่ขึ้นแนะนำได้เลยโดยจะมีค่าธรรมเนียมการสอบที่ประมาณ 3,415.12 บาท นะครับโดยแนวข้อสอบจะเป็นดังนี้ส่วนที่ 1 จะเป็นข้อสอบพื้นฐานการเขียนแบบ( 3 ข้อ 5 คะแนน) ในส่วนนี้จะเป็นคำถามพื้นฐานในงานเขียนแบบโดยโจทย์จะมาในรูปของ Drawing และถามในเรื่องพื้นฐานทั่วไป เช่น การมองภาพ ภาพตัดรูปแบบต่างๆ ภาพฉายเป็นต้น ผู้เขียนอยากจะเน้นย้ำให้ศึกษาเนื้อหาพื้นฐานต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ ภาพตัดในแบบต่างต่างๆ เช่น1.Full section 2.Half section3.Offset section4.Broken-Out section5.Revolved section6.Remove sectionรูปภาพโดย : ผู้เขียนผู้อ่านควรศึกษาประเภทและตัวอย่างการนำไปใช้งานด้วยจะยิ่งดีเพราะจะทำให้ง่ายและเร็วต่อการมองภาพ ส่วนที่ 2 เป็นการสร้าง ชิ้นส่วนอย่างง่ายและการแก้ไขขนาด(2 ข้อ 15 คะแนน) 2.1.การใช้คำสั่ง Sketch 2.2.การใช้คำสั่ง Extrude Boss 2.3.การใช้คำสั่ง Extrude Cut 2.4.การแก้ไขขนาดรูปภาพโดย : ผู้เขียนในส่วนที่ 2 จะเป็นภาพง่ายๆ โจทย์จะให้เราวาดแล้วขึ้นรูปโมเดลขึ้นมาแล้วจากนั้น ใส่ material เข้าไป จากนั้นให้หาน้ำหนักของชิ้นงานว่ามีตรงกับใน Choice หรือไม่ จากนั้นนำรูปเดิม มาเปลี่ยนขนาดของ Dimension ที่บางจุดบนชิ้นงาน แล้วหาน้ำหนักใหม่ นำน้ำหนักที่ได้ไปตอบในในช่องว่างโดยการพิมพ์ตัวเลขที่เป็นคำตอบลงไป ซึ่งจะทำให้เราเดา Choice เหมือนข้อก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้ว ส่วนที่ 3 เป็นการสร้าง ชิ้นส่วนทางกล ความยากระดับกลาง (2 ข้อ 15 คะแนน) 3.1.การใช้คำสั่ง Sketching 3.2.การใช้คำสั่ง Revolve Boss 3.3.การใช้คำสั่ง Extrude Cut 3.4.การใช้คำสั่ง Circular Pattern รูปภาพโดย : ผู้เขียนในส่วนที่ 3 จะเป็นภาพที่มีระดับความยากที่เพิ่มขึ้นมาจากในส่วนที่ 2 ขึ้นมาหน่อย โจทย์จะให้เราวาดแล้วขึ้นรูปโมเดลขึ้นมาเช่นเดิม แต่จะมีความซับซ้อนขึ้นมา เช่น โจท์จะให้เจาะรูตาม Drawing อาจเป็นรูแบบเดี่ยว หรือรูแบบเรียงแถวขึ้นอยู่กับชุดข้อสอบที่ได้รับ ขั้นตอนต่อไปก็ทำการใส่ material เข้าไป จากนั้นให้หาน้ำหนักของชิ้นงานว่ามีตรงกับใน Choice หรือไม่ จากนั้นนำรูปเดิม มาเปลี่ยนขนาดของ Dimension ที่บางจุดบนชิ้นงาน แล้วหาน้ำหนักใหม่ นำไปตอบโดยการกรอกในช่องว่าง ส่วนที่ 4 เป็นการสร้าง ชิ้นส่วนทางกล ความยากระดับสูง (3 ข้อ 15 คะแนน) 4.1.การใช้คำสั่ง Sketching 4.2.การใช้คำสั่ง Sketch Offset 4.3.การใช้คำสั่ง Extrude Boss 4.4.การใช้คำสั่ง Extrude Cut 4.5.การแก้ไขขนาด 4.6.การแก้ไขขนาดท่ี่จุดแก้ไขยากรูปภาพโดย : ผู้เขียนในส่วนที่ 4 จะเป็นภาพที่มีระดับความยากที่เพิ่มขึ้นมาจากในส่วนที่3 ขึ้นมาหน่อย สำหรับผู้เขียนแล้วถือว่ายากมากเลยทีเดียว โจทย์จะให้เราวาดรูป 2D แล้วขึ้นรูปโมเดลขึ้นมาเช่นเดียวกับโจทย์สองส่วนที่ผ่านมา ขั้นตอนต่อไปก็ทำการใส่ material เข้าไป จากนั้นให้หาน้ำหนักของชิ้นงานว่ามีตรงกับใน Choice หรือไม่ จากนั้นนำรูปเดิม มาเปลี่ยนขนาดของ Dimension แล้วหาน้ำหนักใหม่ นำไปตอบโดยการกรอกในช่องวางแต่การเปลี่ยนขนาดในข้อนี้เป็นการเปลี่ยนขนาดที่จุดที่มีวามซับซ้อน พูดง่ายๆคือเมื่อมีการเปลี่ยน ขนาด Dimension แล้วจะทำให้ชิ้นงานมีรูปร่างเพี้ยนไปทั้งหมดต้องใช้เวลาและสมาธิอย่างมากในการทำให้ภาพชิ้นงานเกิดความสมดุลอีกครั้งหลังเปลี่ยนขนาด ส่วนที่ 5 การประกอบชิ้นส่วนทางกลในโหมด Assembly (4 ข้อ 30 คะแนน) 5.1.Placing of base Part 5.2.การใช้คำสั่ง Mates 5.3.แก้ไขระยะ และ มุม ในการ Mates ชิ้นงาน ในส่วนสุดท้ายนี้โจทย์จะให้ชิ้นส่วนต่างๆของชิ้นงานสำหรับทำการประกอบ ในส่วนนี้ผู้สอบจะต้องเข้าอยู่ในโหมด Assembly และดึงชิ้นงานส่วนต่างมาวางในโปรแกรม ผู้สอบจะต้องเข้าใจถึง ความสัมพันธ์ของการใช้คำสั่ง mate ให้ดีเพื่อให้ไม่ต้องเสียเวลาในการเลือกใช้คำสั่งในการประกอบชิ้นงาน ในส่วนนี้โจทย์ให้เรา mate ชิ้นส่วนของชิ้นงานที่ลิ้งค์ถึงกัน ซึ่งอยู่ในรูป Mechanism ว่าจะต้องมีความห่างหรือทำมุมกันกันเท่าใด ตัวอย่างที่สามารถดูได้จากรูปด้านล่างจะสังเกตได้ว่า ชิ้นส่วนสีแดงที่เป็นแท่งสองแท่งถูกวางอยู่ในรูปกากบาทโดยถูกควบคุมการหุบเข้าและกางออกโดยอุปกรณ์สีเขียวและสีม่วง เรียกว่า Cylinder รูปแบบการทำงานของ Cylinder นี้ก็คือชิ้นส่วนที่เป็นชิ้นสีม่วงจะสามารถเคลื่อนที่เข้าออกในอุปกรณ์ชิ้นสีเขียวได้และหน้าที่ของผู้สอบที่จะต้องทำนั่นก็คือ เมื่อมีการ mate กันของตัว Cylinder ชิ้นส่วนสีเขียวกับสีม่วงแล้วเราจะต้องกำหนดระยะตามที่โจทย์ระบุไว้ ว่าแท่งของชิ้นส่วนสีม่วงจะต้องออกกระบอกชิ้นส่วนสีเขียวกี่ mm. จากนั้นผู้สอบจะเข้าไปในคำสั่ง mass property เพื่อดูว่า mass Volume และ Center of mass ทั้งสามแกน เป็นเท่าไหร่ เช่น mass = 2324g. volume=2324297 m3 x=1.12,y=-173,z=1.87 เป็นต้น และนำค่าเหล่านี้ไปเลือกตอบใน Choice บนข้อสอบได้เลย ผู้เขียนคิดว่าโจทย์ในส่วนี้ค่อนข้างง่ายแต่ต้องใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนานสักนิดเพราะมีชิ้นงานหลายๆชิ้นที่จะต้องประกอบกัน และผู้เขียนอยากแนะนำแนะนำให้ผู้ที่จะสอบลองศึกษาความสัมพันธ์ต่างๆในคำสั่ง mate ให้ดีเพื่อที่จะได้ประกอบชิ้นงานได้อย่างรวดเร็ว รูปภาพจาก : grabcad.comข้อสอบจะมีทั้งหมด 14 ข้อ โดยมีคะแนนเต็ม 240 คะแนน ซึ่งผู้สอบจะต้องทำคะแนนให้ได้ 165 คะเเนนขึ้นไป ภายในเวลาระยะเวลา 3 ชั่วโมงสิ่งสำคัญคือจะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านจะสามารถสอบผ่านได้อย่างง่ายดายและรับใบรับรองมาครอบครองได้อย่างแน่นอนครับภาพปก: โดยผู้เขียน
ฟีรดาวส์ เลาะยะพา • 10 มี.ค. 63
อ่าน
เรียน Pre-degree ม.รามคำแหง ยากมั้ย?
เรียน Pre-degree ม.รามคำแหง ยากมั้ย? แบ่งเวลายังไง?สำหรับน้องๆที่กำลังสนใจระบบการเรียนแบบ Pre-degree ของ ม.รามคำแหง ที่เป็นทางเลือกหนึ่งในการค้นหาตัวเองในอนาคตโดยประหยัดทั้ง เวลา กับ ค่าเทอม ที่ไม่แพง และคุ้มค่า แต่ต้องแลกมากับความขยัน มีวินัย อดทน ของตัวเอง.......เริ่มสมัครได้ตั้งแต่อายุ15 ใช้วุฒิม.3 สมัครได้เลย!! ติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านทางเว็บไซต์ www.ru.ac.th หรือทางเพจของทางมหาวิทยาลัย PR Ramkhamhaeng University ซึ่งวันนี้เราจะนำประสบการณ์ของตัวเราเองมาแบ่งปันให้กับน้องๆเป็นแนวทางในการวางแผนนะคะเราเป็นนักเรียนพรีดีกรีคนนึง คณะสื่อสารมวลชน ของส่วนภูมิภาค ที่ตอนนี้กำลังจะขึ้นปี3แล้ววววว เย่ๆๆๆๆ!!! (ม.5กำลังจะขึ้นม.6)โดยจุดเริ่มต้นที่มาเรียนระบบนี้เมื่อตอนเราอายุ15ปี ใช้วุฒิม.3ของเราในการสมัคร ตอนแรกคือเกิดจากการที่พี่ชายของเราเรียนพรีดีกรีของรามเหมือนกัน ส่วนตัวพี่ชายเราเรียนคณะนิติศาสตร์ คุณแม่เราเลยอยากให้เราเรียนพรีดีกรีเหมือนพี่ชาย โดยแม่บอกเหตุผลว่าค่าหน่วยกิตถูกและประหยัดเวลา ไม่ต้องเข้าเรียน อ่านหนังสือ ฟังบรรยายไปสอบอย่างเดียว และสามารถเรียนจบปริญญาตรีภายในอายุ19ปี ถ้าขยัน อดทน มีระเบียบวินัยต่อตัวเอง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากๆ ส่วนตัวเราในตอนนั้นคือใจเราอยากเรียนแบบปกติ และตั้งใจจะเข้าคณะที่เกี่ยวกับภาษาด้วยซ้ำ แต่พอแม่บอกว่าถ้าเราเริ่มต้นได้เร็วกว่าคนอื่นมันจะดีต่อตัวเราในอนาคต เราคิดว่าด้วยความที่ถ้าเราเรียนจบได้เร็วเราอยากจะทำงานหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งด้วยความที่เราสนใจอยากจะเรียนคณะมนุษยศาสตร์ แต่คณะนี้มีแค่ในส่วนกลาง(คือต้องไปสอบวันธรรมดาที่ม.รามคำแหงหรือที่กรุงเทพ) ซึ่งเราไม่ได้สะดวกขนาดนั้นเพราะเราอยู่ตจว. จึงไปศึกษาดูว่ามีคณะอะไรบ้างในส่วนภูมิภาคที่เราสนใจ ก็จะมี4คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะสื่อสารมวลชน และคณะรัฐศาสตร์ ณ ตอนนั้นแม่เราแนะนำให้เรียนรัฐศาสตร์ แต่เราก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้นเลยคุยกับแม่ว่าจะเรียนสื่อสารแทนเพราะเราชอบดูพวกสื่อต่างๆหรือชอบการพูดสื่อสาร(ส่วนตัวเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง เข้าใจยากด้วยแหละ555) แม่ก็เห็นด้วยเพราะด้วยความที่เราสื่อสารกับคนไม่รู้เรื่องมันก็เหมือนเรียนอันนี้แล้วเราจะได้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นและได้พัฒนาตัวเองด้วย แต่อยากบอกว่าส่วนตัวเราเวลาอยู่กับเพื่อนมักจะเป็นผู้ฟังเสมอไม่ค่อยได้เล่าเรื่องของตัวเองสักเท่าไหร่ แม่ก็ถามว่าจะไปต่อยอดยังไง? เราในตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าจบไปจะทำอะไรแต่เราแค่เลือกในสิ่งที่เราชอบ คิดซะว่าเป็นการค้นหาตัวเองในขณะที่เราเรียนม.ปลายควบคู่ไปด้วย หลังจากที่คุยกันไปสักพักพอตกลงกันได้แม่เราก็สมัครให้เลย เมื่อขึ้นม.4มาเป็นช่วงโควิด-19 เรียนออนไลน์ที่บ้านอยู่แต่บ้านเพราะออกไปไหนไม่ได้ เราเองก็เรียนแผนวิทย์-คณิต ซึ่งไม่ใช่แผนที่เราถนัดเท่าไหร่และไม่ชอบวิทย์คณิตเลย แต่ด้วยความที่แผนการเรียนนี้มันสามารถมีทางเลือกมากกว่าเลยอดทนตั้งใจเรียนมาเรื่อยๆ ระหว่างปิดเทอมออนไลน์เราก็สอบปีแรกของรามแบบออนไลน์คิดว่าโชคดีมากเลยที่สอบแบบออนไลน์ทำให้เรามีเวลาเตรียมอ่านมากพอ เราก็ลงวิชาเลย6ตัวจุกๆ ซึ่งปีนั้นเป็นหลักสูตรเก่าต้องลงวิชาบังคับเป็นวิชาพื้นฐาน แต่เปลี่ยนหลักสูตรใหม่ตั้งแต่ปี 65 ขึ้นไป ส่วนตัวเราทำข้อสอบได้นะ ได้ A มา 3 ตัวเลย มีเทคนิคคืออ่านชีทแดงของม.ราม เก่าๆหลายๆปี จดสรุปไปนิดหน่อยเพื่อให้กลับมาอ่านแล้วจำได้ง่าย แค่ขยันอ่านบ่อยๆก็ทำได้เองไม่ยากเลย ส่วนเรื่องแบ่งเวลานั้น แต่ละคนมีเวลาชีวิตเป็นของตัวเองบางคนต้องช่วยทำงานของที่บ้านก็ต้องแบ่งเวลาอ่าน หรืออย่างเราที่อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไรสักเท่าไหร่ ค่อนข้างที่จะไม่ยุ่งมากก็เลยมีเวลาอ่านได้เยอะ บอกเลยปีแรกเราเครียดมากจนตอนที่สอบวิชาอังกฤษผ่านคอมเป็นตัวสุดท้าย เรามีอาการปวดท้อง ตาเบลอไปหมดอ่านตัวหนังสือแทบไม่ได้จนกระทั่งนั่งกดข้อสอบอยู่ดีๆก็อ้วกออกมาเลย ซึ่งตอนนั้นเราปวดปจด.ด้วย คือมันเป็นอุปสรรคต่อการทำข้อสอบมากๆเลย (วิชาสุดท้ายแล้วแท้ๆ!!!) หลังจากเริ่มปรับตัวมาเรื่อยๆบวกกับขึ้นม.5 ต้องมาเรียนที่รร. เราก็เรียนไปด้วยทำกิจกรรมไปด้วยแต่พอถึงช่วงที่สอบของรามเราบางทีเราก็มาอ่านที่รร.หลังเลิกเรียนเสร็จทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเราเริ่มจัดระเบียบความคิด เวลา และความรับผิดชอบมากขึ้นมาเรื่อยๆดังนั้น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องให้ความสำคัญกับตัวเอง อย่าพยายามพึ่งคนอื่น ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร ไม่ว่าใครจะว่ายังไงกับเราไม่ต้องสนใจหรอก อยากทำอะไรก็ทำ แต่ละคนมีทางเลือกในแบบของตัวเอง เราก็เป็นคนนึงที่ไม่ได้เก่งอะไรแต่เราเป็นคนพยายาม ตั้งใจทำอะไรให้ดีที่สุด เราก็เชื่อว่าทุกคนทำได้นะ สู้ๆ!!!!!!!ส่วนเราในอายุ17 พอเป็นช่วงปิดเทอมของเด็กมัธยมทั่วไป เราจะใช้เวลาพักผ่อนของเด็กม.ปลายธรรมดาๆคนนึง ในการอ่านหนังสือ อ่านชีทแดง ของม.ราม เพื่อเตรียมตัวสอบปี2/เทอม2 ซึ่งลงไป5วิชา เป็นปรนัยทุกตัว....ถามว่าขี้เกียจมั้ยกับการต้องแบ่งเวลาอ่านหนังสือเอง ก็ขี้เกียจนะแต่เราก็ต้องสอบให้ผ่านเพื่อตัวเราเอง ส่วนตัวเราเตรียมตัวอ่านประมาณเดือนนึง ระหว่างที่อยู่บ้านก็อ่านชีทแดงสัก20-30นาทีแล้วไปดูยูทูปต่อ หรือบางทีฟังเพลงไปด้วยอ่านไปด้วย ให้มันrelax เพราะเราเป็นคนไม่ชอบความเครียด พอวันไหนอ่านเยอะเราก็จะพักแล้วดูศิลปินที่ชอบหรือดูอะไรตลกๆฮาๆให้ได้หัวเราะออกมา5555 ทำแบบนี้ทุกวัน หรือบางวันที่รู้สึกหมกมุ่นก็จะออกไปเที่ยวข้างนอกกินของอร่อยๆกับครอบครัวเพื่อเปิดหูเปิดตา ซึ่งส่วนมากเราจะสอบช่วงเสาร์อาทิตย์เพราะเป็นของภูมิภาค และสามารถเลือกศูนย์สอบตามแต่ละจังหวัดที่อยู่ใกล้บ้านเราได้ อย่างของเราอยู่จังหวัดระยอง แต่ไปสอบที่ศูนย์สอบที่จันทบุรี ตอนไปสอบคนก็ไม่ได้เยอะมาก มีหลากหลายวัย รู้สึกไม่ได้กดดันอะไรมากเพราะบรรยากาศในห้องสอบแอร์เย็น ไม่แออัด แต่ตอนมาสอบแรกๆก็ตื่นเต้นเป็นปกติแหละ แล้วก็ผ่านมาได้ด้วยดี ถ้าใครที่ไม่ชอบอยู่บ้านเฉยๆลองค้นหาตัวเองศึกษาทางเลือกดีๆให้ชีวิตดูนะคะ เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนนะคะ เราเองก็จะสู้ไปพร้อมกันเปลวเทียนให้แสง รามคำแหงให้ทาง ขอบคุณภาพปกจาก : Piqselsภาพที่ 1 จาก : มหาวิทยาลัยรามคำแหง / www.ru.ac.thภาพที่ 2 จาก : มหาวิทยาลัยรามคำแหง / www.ru.ac.thภาพที่ 3 จาก : PR Ramkhamhaeng University / Official Page Facebook มหาวิทยาลัยรามคำแหงภาพที่ 4 จาก : PR Ramkhamhaeng University / Official Page Facebook มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
avazako • 16 เม.ย. 66
อ่าน
รู้จัก Prompt Engineering คืออะไร ทำไมคนทำคอนเทนต์ต้องรู้
รู้จัก “Prompt Engineering” คืออะไร ทำไมคนทำคอนเทนต์ต้องรู้ ถ้า “คอนเทนต์คือครัว” ก็ขอให้มอง Prompt ว่าเป็น “บรีฟให้เชฟ” ยิ่งบรีฟชัด เชฟยิ่งทำได้ตรงปาก และถ้าคุณทำคอนเทนต์เป็นงานหลัก Prompt Engineering คือทักษะที่จะทำให้คุณคุมรสชาติได้อย่างแม่นยำ ผลิตงานเร็วขึ้น คุณภาพนิ่งขึ้น และขยายไอเดียได้แบบไม่หมดมือ Prompt Engineering คืออะไร (แบบไม่วิชาการเกินไป) Prompt Engineering คือศิลปะ + วิธีคิดในการออกแบบคำสั่งให้โมเดลภาษาทำงาน “ตรงใจเรา” มากที่สุด จุดประสงค์หลักมี 3 อย่าง: ได้ผลลัพธ์ คุณภาพดี (เข้าใจโจทย์ ตรงสไตล์) ได้ผลลัพธ์ เสถียร (สั่งซ้ำแล้วออกมาแนวเดียวกัน ไม่เหวี่ยงไปมา) ได้ผลลัพธ์ที่ ทำซ้ำได้และต่อยอดได้ (พกไปใช้กับงานอื่น ทีมอื่น แพลตฟอร์มอื่น) คิดง่าย ๆ: Prompt ที่ดี = บรีฟที่ดี + ตัวอย่างประกอบ + กติกา + ฟอร์แมตส่งงาน ทำไมคนทำคอนเทนต์ต้องรู้ (และได้อะไรจริง ๆ) เร็วกว่าเดิมหลายเท่า: จากไอเดียถึงดราฟต์แรกในไม่กี่นาที เหลือเวลาไว้เกลาคำและเช็กข้อเท็จจริง คุมโทนแบรนด์ได้: กำหนดเสียง (Voice), โทน (Tone), คำต้องใช้/ต้องเลี่ยง ทำให้สื่อสารสม่ำเสมอทุกช่องทาง ไอเดียไม่ตัน: แตกมุมมองใหม่ ๆ ให้โจทย์เดิม (เช่น 1 หัวข้อ ทำได้ 10 มุม) Repurpose content: บทความยาว - สคริปต์วิดีโอสั้น - แคปชัน - อินโฟกราฟิก ได้ในชุดเดียว ทดสอบได้เป็นระบบ: ขอเวอร์ชัน A/B พร้อมเมตริกเปรียบเทียบ เช่น ฮุค 5 แบบ, พาดหัว 15 แบบ, CTA 10 แบบ ปรับให้ “เป็นเรา” มากขึ้น: ป้อนสไตล์ไกด์/ตัวอย่างงานเก่าให้โมเดลเรียนรูปแบบเสียงของแบรนด์ ช่วยงานหลังบ้าน: สร้างบรีฟทีมครีเอทีฟ สรุปประชุม โครงคอนเทนต์ ถอดเทป ไล่เช็กลิสต์ก่อนโพสต์ โครงสร้าง Prompt ที่ดี (สูตรสั้นจำง่าย ใช้ได้จริง) Workflow R.A.C.E.S.: R – Role: ให้โมเดล “สวมบท” ที่ถูกต้อง A – Audience: ใครคือผู้อ่าน/ผู้ชม (วัย, อินไซต์, ความคาดหวัง) C – Context: ที่มา เป้าหมาย แพลตฟอร์ม ข้อจำกัด E – Examples: ตัวอย่างงานที่ชอบ/ไม่ชอบ (few-shot) S – Specs: สเปกการส่งงาน: ความยาว โครงสร้าง ฟอร์แมต คำต้องใช้/ต้องเลี่ยง และเดดไลน์ เทมเพลตตัวอย่าง : “สวมบทเป็น [Role] ช่วยฉันทำ [Task/Goal] สำหรับ [Audience] โดยมีบริบทคือ [Context/Objective] โทนเสียง: [Tone/Voice] | สไตล์: [Brand cues] ตัวอย่างที่ต้องการอ้างอิง: [Example(s)] สเปกงาน: ความยาว [X คำ/บรรทัด], โครง [หัวข้อ/บล็อก], ฟอร์แมต [เช่น Markdown/ตาราง], คำต้องใช้: [Keywords] | คำห้ามใช้: [Banned words] ส่งมาพร้อม: [ตัวเลือก A/B, CTA 3 แบบ, แฮชแท็ก 10 อัน, ฯลฯ]” ก่อน–หลัง: ความต่างเมื่อใช้ Prompt ดี (ดูแล้วจับต้องได้) โจทย์: แคปชันเปิดตัวเมนูชาเขียวมัทฉะของคาเฟ่ Prompt ทั่วไป: “เขียนแคปชันโปรโมตมัทฉะหน่อย” ผลลัพธ์: “มัทฉะหอมเข้ม ลองเลยวันนี้!” (กว้าง เกลื่อนตลาด) Prompt Engineering: “สวมบทครีเอทีฟคาเฟ่สายญี่ปุ่น ช่วยเขียนแคปชันเปิดตัว ‘ดับเบิลมัทฉะลาเต้’ สำหรับวัยทำงาน 22–35 ในกรุงเทพ อินไซต์: อยากได้คาเฟอีนที่นุ่ม ไม่ใจสั่น แต่มีกลิ่นมัทฉะชัด โทนอบอุ่น สุภาพแต่มีลูกเล่น ความยาวไม่เกิน 60 คำ ใส่แฮชแท็ก 5 อันที่ไม่ซ้ำตลาด ห้ามใช้คำว่า ‘ฟิน’ และ ‘ละมุน’ ทำ 3 เวอร์ชันต่างมู้ด พร้อม CTA” ผลลัพธ์ (ตัวอย่างหนึ่ง): “เข้มขึ้นอีกนิด แต่ใจก็ยังนิ่ง‘ดับเบิลมัทฉะลาเต้’ ดึงกลิ่นชาเขียวสายอูจิให้เด่นขึ้นแบบไม่โถมคาเฟอีน จิบยาว ๆ ได้ทั้งวัน เจอกันที่บาร์ชงตั้งแต่ 8 โมงนะครับ #MatchaAtWork #GreenRitual #UjiInside #CalmEnergy #BangkokCafe (CTA: ‘ลองสูตรใหม่วันนี้ รับส่วนลด 10% เมื่อบอกว่า “double green” ที่หน้าเคาน์เตอร์’)” โจทย์: โครงสคริปต์วิดีโอ 45 วินาที Prompt Engineering: “สวมบทตัดต่อสาย TikTok ทำสคริปต์ 45 วิ เปิดด้วยฮุค 3 วิสำหรับคนที่ ‘เหนื่อยกับการจัดบ้านรก’ โครง: Hook–Pain–Quick Win 2 ข้อ–CTA ฟังดูเป็นเพื่อนชวนคุย ไม่ขายของตรง ๆ” โจทย์: พาดหัวบทความ SEO Prompt Engineering: “ให้ 15 พาดหัวไทยยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร คีย์เวิร์ดหลัก ‘รองเท้าวิ่งคนเท้าแบน’ หลีกเลี่ยงคำซ้ำ จัดตารางคอลัมน์: หัวข้อ | ตั้งใจสื่อ | โทน | เหตุผลที่น่าคลิก 1 บรรทัด” พรอมป์ต์แพทเทิร์นที่คนทำคอนเทนต์ใช้บ่อย Idea Burst: ขอไอเดียหลายมุมในคราวเดียว “สำหรับ [Audience] ที่มีปัญหา [Pain] ให้ไอเดียคอนเทนต์ 20 มุม แบ่งเป็น Educate/Entertain/Empower อย่างละเท่า ๆ กัน ใส่ฮุค 1 ประโยค และเหตุผลที่ควรทำ 1 บรรทัด/ข้อ” Angle Shifter: มองเรื่องเดิมให้แปลกขึ้น “ยกหัวข้อ [Topic] แล้วเขียนพาดหัว 10 แบบ โดยให้โทนแตกต่างกัน: ดราม่านุ่ม ๆ, ขำเบา, ข้อมูลจัดเต็ม, มินิมอล, อบอุ่น, แรงแต่สุภาพ” Voice Transfer: ย้ายโทนเป็นแบรนด์เรา “นี่คือตัวอย่างสไตล์แบรนด์ [แนบข้อความ 2–3 ย่อหน้า] ช่วยเขียนโพสต์ใหม่ในหัวข้อ [Topic] โดยรักษาจังหวะประโยค คำโปรด และระดับความสุภาพให้เหมือนตัวอย่าง” Repurpose Kit: แปลงชิ้นเดียวเป็นหลายฟอร์แมต “จากบทความด้านล่าง สรุปเป็น: 1) สคริปต์ Reels 30 วิ, 2) แคปชัน IG 3 แบบ, 3) คำโปรยอีเมล 2 บรรทัด, 4) Bullet สำหรับอินโฟกราฟิก 8 จุด—ให้คงโทนแบรนด์เดิม” A/B Factory: โรงงานทดสอบ “สร้าง 2 เวอร์ชันที่ต่างกันชัดเจนของ [Copy/Hook/CTA] พร้อมเหตุผลคาดการณ์ว่ากลุ่ม [Audience] น่าจะชอบเวอร์ชันไหนและทำไม (1–2 บรรทัด)” Brief Builder: ให้ AI ช่วยเขียนบรีฟทีม “สรุปประชุมนี้เป็นบรีฟครีเอทีฟ โครง: เป้าหมาย | อินไซต์ | ข้อความหลัก | ทางเลือกคอนเทนต์ | KPI | เดดไลน์ | คนรับผิดชอบ | ความเสี่ยง/ข้อจำกัด” Compliance Guard: การใช้คำ/อ้างอิง “เขียนคอนเทนต์นี้โดยเลี่ยงคำ [รายการคำ] เพิ่มเช็กลิสต์ท้ายชิ้นงาน: มีการระบุที่มา/ไม่มีข้ออ้างเกินจริง/ไม่มีข้อมูลสุขภาพที่อาจทำให้เข้าใจผิด” วิธีทำงานเป็นลูป (เวิร์กโฟลว์สั้น ๆ แต่ทรงพลัง) Seed Prompt: สั่งรอบแรกให้ชัด แต่ไม่ยาวเว่อร์ Review Annotate: ไฮไลต์จุดดี/ไม่ใช่ แล้วเขียนคอมเมนต์สั้น ๆ ให้ AI “แก้เป็นเวอร์ชัน 2” Refine with Examples: ป้อนตัวอย่างงานจริงของคุณ 1–2 ชิ้น ให้ AI “เรียนเสียง” เพิ่ม Fact Sense Check: ขอให้ “อ้างที่มา/ระบุข้อสมมติ” เมื่อพูดถึงข้อมูลสำคัญ แล้วคุณตรวจทานอีกที Format Ship: ขอฟอร์แมตส่งงานตามแพลตฟอร์ม (Markdown/ตาราง/สคริปต์) จากนั้นนำไปเกลาในสไตล์ส่วนตัวก่อนปล่อย เคล็ดลับ: เก็บ Prompt Library ของทีม ข้อดีคือคนใหม่เข้ามาก็ทำงานได้เร็ว และงานนิ่งทั้งเพจ ถ้าผลลัพธ์ยัง “จืด” ให้ปรับตรงไหน กว้างไป/น้ำเยอะ - เพิ่ม Audience + Context + ความยาวเฉพาะเจาะจง + คำต้องใช้/ห้ามใช้ โทนไม่ใช่ - แนบตัวอย่างสั้น ๆ ของสไตล์แบรนด์ 2–3 ย่อหน้า แล้วสั่ง “เลียนจังหวะประโยค/คำโปรด” แรงบันดาลใจซ้ำตลาด - ขอ “มุมกลับ/มุมขัดแย้งที่สุภาพ” พร้อมเหตุผลประกอบ ยืดยาดเกิน - กำหนดโครงและจำนวนบรรทัดต่อหัวข้อ เสี่ยงข้อมูลผิด - สั่ง “ห้ามยืนยันข้อมูลหากไม่แน่ใจ ให้เสนอทางตรวจสอบ/ขอที่มา” แล้วคุณเช็กอีกชั้น อ่านแล้วไม่อยากคลิก - ขอ “พาดหัว 10 แบบ + ฮุค 1 ประโยค/แบบ + เหตุผลที่น่าคลิก 1 บรรทัด” ผลลัพธ์แกว่งทุกครั้ง - ใส่ Specs ให้ละเอียดขึ้น และเก็บ Prompt เวอร์ชันที่ชนะไว้ใช้ซ้ำ สรุป: 10 พรอมป์ต์พร้อมใช้สำหรับคอนเทนต์ “สวมบทบรรณาธิการแบรนด์ [ชื่อแบรนด์] ให้ 20 ไอเดียโพสต์สำหรับ [Audience] อินไซต์หลัก [Pain/Desire] แบ่ง Educate/Entertain/Engage อย่างละเท่า ๆ กัน พร้อมฮุคสั้น 1 บรรทัด/ไอเดีย” “แปลงบทความนี้เป็นสคริปต์วิดีโอ 60 วิ โครง Hook–Problem–Quick Tip–CTA โทนเป็นกันเอง ไม่ขายของตรง ๆ” “เขียนพาดหัว 15 แบบให้คีย์เวิร์ด [คำหลัก] ยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร ใส่คอลัมน์เหตุผลที่น่าคลิก 1 บรรทัด/หัวข้อ” “รีไรต์ข้อความนี้ให้คมขึ้นใน 120 คำ โทนอบอุ่น-ฉลาด ใช้ประโยคสั้น ตัดคำฟุ่มเฟือย และเพิ่ม CTA ชัดเจน 1 อัน” “ออกแบบคอนเทนต์ชุด 7 วันสำหรับ [แพลตฟอร์ม] ธีม [ธีม] ใส่หัวข้อ, วัตถุประสงค์, คีย์เทคอะเวย์, รูปแบบภาพที่แนะนำ/วัน” “สร้างตาราง A/B สำหรับฮุค 12 แบบ แบ่งตามโทน: ดาต้า, อารมณ์, คำถาม, เรื่องเล่า ระบุความเสี่ยง/ข้อควรระวัง” “สรุปประชุมนี้เป็นบรีฟโฆษณา: เป้าหมาย | อินไซต์ | ข้อความหลัก | พิสูจน์จุดขาย | ช่องทาง | KPI | เดดไลน์” “ทำเช็กลิสต์ก่อนโพสต์สำหรับ [แพลตฟอร์ม] ครอบคลุมภาพ, คำ, แฮชแท็ก, ลิงก์, การอ้างอิง, การเข้าถึง” “ให้ 5 โครงเรื่อง (story arc) สำหรับเล่า [หัวข้อ] ใน Reels 30 วิ พร้อมช็อตไกด์ต่อซีน” “ทำคู่มือโทนเสียงแบรนด์ 1 หน้า: บุคลิก 3 คำ, คำที่ใช้บ่อย, คำต้องเลี่ยง, ตัวอย่าง 3 บรรทัด ‘พูดยังไง–ไม่พูดยังไง’” ข้อควรคิดเรื่องจริยธรรมและคุณภาพ เครดิต แหล่งอ้างอิง: ถ้าใช้ข้อมูล/สถิติ ให้ระบุที่มาเสมอ ค่านิยมแบรนด์: ตั้งกติกาคำต้องเลี่ยงเพื่อความปลอดภัยและความเหมาะสมต่อผู้ชม สิทธิในภาพ/เพลง/ฟอนต์: ตรวจสิทธิการใช้งานก่อนโพสต์ เปิดเผยการใช้ AI เท่าที่จำเป็น: โดยเฉพาะงานที่ต้องความโปร่งใส (องค์กร, สถาบัน, สุขภาพ/การเงิน) สั้น ๆ Prompt Engineering ไม่ใช่แค่ “พิมพ์สั่งให้ AI ทำงาน” แต่มันคือทักษะการบรีฟที่ทำให้คอนเทนต์ เร็วขึ้น คลิกขึ้น และนิ่งขึ้น ใครที่จับหลัก R.A.C.E.S., เก็บไลบรารีพรอมป์ต์ของทีม และทำงานเป็นลูปปรับปรุง จะเห็นผลชัดทั้งคุณภาพงานและเวลาที่ประหยัดได้ ลองเริ่มจากพรอมป์ต์ในชีตสรุปด้านบน แล้วค่อย ๆ ปรับให้เป็น “เสียงของคุณ” รับรองว่าคอนเทนต์จะลื่นขึ้นทันตา และคุณจะคุมเกมได้มากกว่าที่คิด 💡 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
dailylerning • 23 ต.ค. 68
อ่าน
เสน่ห์ของ Mechanical Keyboards การพิมพ์สนุกและการปรับแต่งที่ลงตัว
ช่วงนี้เลื่อนฟีดไปไหนก็เจอแต่คนใช้ mechanical keyboards พิมพ์งานกันทั้งนั้น ตอนแรกนักเขียนก็รู้สึกเฉยๆ ว่าเรามีคีย์บอร์ดธรรมดาอยู่แล้ว มันจะไปต่างอะไร แต่พอดูเยอะ ๆ เข้า ก็เกิดความสนใจขึ้นมาเลยไปศึกษาเพราะมันมีหลายรุ่นมากๆๆๆ จนเลือกไม่ถูก มีหลายสวิตช์ด้วย แต่ก็จบที่รุ่นนี้ ที่ราคาบอกเลยบว่าสามารถเข้าถึงได้ง่ายแน่นอน ชื่อรุ่น "ajazz ak852" แต่อาจมีสีไม่ได้หลากหลายมาก ดทุกคนสามารถซื้อ key caps เพิ่มเติมได้เองเลยน้า เราว่าข้อดีของตัวนี้คือสามารถตกแต่งมันได้ พอเราเบื่อเราก็จับเปลี่ยนโฉมเลย การเปลี่ยน key caps ก็เป็นส่วนหนึ่งของความสนุกที่มาพร้อมกับการใช้งาน mechanical keyboard เพราะสามารถเลือกได้ตามความชอบ สีสันหรือลวดลายที่เราต้องการ ทั้งนี้ก็ยังคงคาแรคเตอร์ที่สำคัญของคีย์บอร์ดตัวนี้ คือความสะดวกสบายในการพิมพ์และเสียงที่ให้ความรู้สึกพิเศษเวลาที่เรากดปุ่ม นักเขียนว่าเสน่ห์ของคีย์บอร์ดรุ่นพวกนี้คือเสียงตอนที่กดเนี่ยแหละ จะมีความดังกว่าคีย์บอร์ดปกติ มีความสะใจ ทำให้เพิ่มความ productive ในการพิมพ์งานมากขึ้นเลย เสียงของ mechanical keyboard แบบนี้ทำให้เรารู้สึกว่าการพิมพ์งานเป็นเรื่องสนุกขึ้น แม้ว่าจะเป็นการทำงานที่ต้องใช้สมาธิ ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนการเล่นเครื่องดนตรีอยู่ในทุกครั้งที่กดแป้น แต่เสียงดังก็อาจจะเป็นจุดที่บางคนต้องพิจารณา ถ้าใครต้องทำงานในที่เงียบ หรือมีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ อาจจะไม่ชอบเสียงที่ดังขนาดนี้นัก และข้อสังเกตที่เห็นได้ชัดอย่างนึงคือ ส่วนใหญ่แป้นจะเป็นภาษาอังกฤษล้วน หาแป้นไทยค่อนข้างมีน้อยนะคะ แต่ไม่ต้องกังวลใจไปเพราะทุกอย่างย่อมมีทางแก้ เขาก็มีร้านขายสติกเกอร์ภาษาไทยติดเพิ่มเติมให้คุณติด แทนที่แป้นตัวเดิมของคีย์บอร์ด จึงไม่ต้องห่วงว่าจะใช้ภาษาไทยไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งความสะดวกที่ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับตัวและปรับแต่งคีย์บอร์ดให้เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเองได้ง่ายๆ หากพูดถึงเรื่องราคาก็มีความหลากหลายมากตั้งแต่ช่วงหลักร้อยจนถึงหลักพันปลาย ๆ เลย สามารถเลือกตามความชอบ มันอาจต่างกันที่วัสดุ ฟังก์ชันต่าง ๆ มีไฟ ไม่มีไฟ โดยที่บางรุ่นจะมีไฟ RGB ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายโหมด ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนสีหรือการตั้งค่าให้ไฟเปลี่ยนตามจังหวะการกดปุ่ม ทำให้เพิ่มความสวยงามและความสนุกในการใช้งานไปอีกขั้น แต่หากใครไม่ชอบความยุ่งยากและต้องการความเรียบง่ายก็สามารถเลือกซื้อรุ่นที่ไม่มีไฟได้เหมือนกัน หรือบางรุ่นก็มีฟังก์ชันที่สามารถตั้งค่าการทำงานได้หลากหลาย เช่นการตั้ง macro, การเลือกสวิตช์ให้เหมาะสมกับการพิมพ์ของเรา หรือการตั้งค่าความแรงของการกดปุ่มก็ทำได้เช่นกัน ทั้งหมดนี้จึงทำให้ mechanical keyboards กลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวกสบายในการพิมพ์ แต่ยังเป็นเรื่องของการตกแต่งและการเพิ่มความสนุกให้กับการทำงานอีกด้วย รูปภาพทั้งหมดรวมหน้าปก โดย นักเขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
aannakc • 26 ม.ค. 68
อ่าน
นาฬิกา CITIZEN Series 8 831 Mechanical ดีไซน์สปอร์ตรุ่นลิมิเต็ด เรียบหรูสไตล์ญี่ปุ่น
CITIZEN Series 8 ถือเป็นหนึ่งในคอลเลกชันที่หลากหลายที่สุดของ Citizen โดยมีทั้งนาฬิกาดำน้ำระดับมืออาชีพ นาฬิกา GMT และดีไซน์ขอบตัวเรือนที่เป็นเอกลักษณ์ ล่าสุด Citizen ได้นำเสนอความงดงามในรูปแบบของ Series 8 831 Mechanical รุ่นลิมิเต็ดที่ผลิตเพียง 1,800 เรือนทั่วโลก ซึ่งมาพร้อมหน้าปัดสีฟ้าอ่อนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากท้องทะเล เพิ่มความโดดเด่นด้วยลวดลายเรขาคณิตที่สะท้อนแสงอย่างสวยงามเมื่อกระทบกับแสงแดด ดีไซน์ที่สะท้อนความหรูหราและความเท่อย่างลงตัว Citizen Series 8 831 Mechanical เป็นนาฬิกาสปอร์ตที่มีความแข็งแกร่งและสไตล์อันโดดเด่น ตัวเรือนสแตนเลสสตีลขนาด 40 มม. มาพร้อมขอบเหลี่ยมที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งและสง่างาม ผสานกับเทคนิคการขัดแต่งที่ผสมผสานระหว่างพื้นผิวแบบขัดเงาและขัดด้าน ทำให้เกิดมิติและเพิ่มความโดดเด่นให้กับตัวเรือน หนึ่งในจุดเด่นของรุ่นนี้คือหน้าปัดสีฟ้าอ่อนที่ Citizen อธิบายว่า "สะท้อนแสงราวกับผิวน้ำทะเลที่เงียบสงบในวันที่แดดจ้า" โดยสะท้อนผ่านลวดลายเรขาคณิตที่คลุมทั้งหน้าปัด ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาและมิติให้กับนาฬิกาอย่างโดดเด่น เสมือนแสงแดดสะท้อนบนผิวน้ำทะเลสมคำบรรยาย ประสิทธิภาพการทำงานที่เชื่อถือได้ นาฬิการุ่นนี้ขับเคลื่อนด้วยกลไกอัตโนมัติ Calibre 9051 ของ Citizen ซึ่งมีความแม่นยำที่ -10 ถึง +20 วินาทีต่อวัน เดินด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง (4Hz) และสำรองพลังงานได้นานถึง 42 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีความสามารถในการต้านสนามแม่เหล็กที่เพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่ากลไกจะทำงานได้อย่างเสถียรแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีแรงแม่เหล็กสูง Series 8 831 Mechanical ยังมาพร้อมกระจกแซฟไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อนเพื่อให้การมองเห็นหน้าปัดเป็นไปอย่างชัดเจน และสามารถกันน้ำได้ลึกถึง 100 เมตร เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือ อาบน้ำ หรือทำกิจกรรมทางน้ำทั่วไป ถือเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์ได้หลากหลายอีกรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว ข้อมูลทางเทคนิค รหัสรุ่น: NB6051-59L ขนาดตัวเรือน: 40 มม. ความหนา: 11.6 มม. วัสดุตัวเรือนและสาย: สแตนเลสสตีล หน้าปัด: สีฟ้าอ่อนพร้อมลวดลายเรขาคณิต กระจก: แซฟไฟร์เคลือบสารกันแสงสะท้อน กลไก: อัตโนมัติ Calibre 9051 (สำรองพลังงาน 42 ชั่วโมง) ความถี่: 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง (4Hz) กันน้ำ: 100 เมตร (10 บาร์) ฟังก์ชัน: บอกเวลา ชั่วโมง/นาที/วินาที และวันที่ จำนวนจำกัด: 1,800 เรือน บทความที่คุณอาจสนใจ นาฬิกา SEIKO ผู้ชาย ราคาไม่เกิน 30,000 บาท รุ่นไหนดี หล่อ เท่ กับนาฬิกา G-SHOCK URBAN UTILITY ซีรีส์ใหม่ พร้อมส่วนลดลูกค้าทรู ----------------------------------------
ไลฟ์สไตล์ • 26 ก.พ. 68
อ่าน
▶️คลิป : วิธีฝึก 90 degree hold
วิธีฝึก 90 degree hold ท่าที่บอดี้เวทสายโยคะ, Calisthenics, streetworkout, Gymnastic ไม่ควรพลาดกดไลค์กดแชร์เพื่อเป็นกำลังใจ และอย่าลืมกด Subscribe ด้วยนะครับ ร่วมเป็นผู้สนับสนุนช่อง https://www.youtube.com/channel/UCxFgxC1Z-jUBNTDPc5O9J-g/joinร่วมเป็นผู้สนับสนุนช่อง เริ่มต้น 35บาทต่อเดือน เพื่อเป็นกำลังใจในให้เรากันได้ครับ🙏🏻🙏🏻 โปรแกรมสำหรับอื่นๆดูที่👇👇👇YouTube https://youtube.com/c/UCANTHENICZFanpage:https://www.facebook.com/Ucanthenicz/ ติดตามเพิ่มเติมได้ที่นี่👇👇👇👇IG:https://www.instagram.com/coach_cheir TrueID:https://creators.trueid.net/@94757 Tiktok :https://vt.tiktok.com/ZSJBtk2Qk/ SnackVideo :http://sck.io/Ly8wdIdy LineID : coach_cheir ออกกำลังกายอยู่บ้านได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !
UcanThenicz • 31 พ.ค. 64
อ่าน
รีวิว Mechanical keyboard ตัวแรกในชีวิต (AKKO 3098B 9009 Retro)
เริ่มจากความอยากได้อยากมีของตัวเอง มองหาคีย์บอร์ดที่จะเอามาใช้กับน้อง Macbook ซึ่งแป้นพิมพ์น้องมันพิมพ์ไม่มันส์มือเอาซะเลย แล้วเราดันมาถนัดใช้ Numpadอีก พอใช้งาน Excel ยิ่งรู้สึกว่าหาใหม่เถอะ โดยเงื่อนไขการหานี้จะต้องขอให้น้องมี Numpadขอให้น้องมีBluetooth เพราะไม่อยากเสียเงินซื้อhubมาต่อพ่วงขอให้น้องมีภาษาไทย อิชั้นพิมพ์สัมผัสไม่เป็นค่ะ จำไม่ได้ว่าอะไรมันอยู่ตรงไหนรองรับระบบของ MAC OSขอเป็นสีออกขาวๆ ครีมๆเรื่องมากใช่ย่อย ไปหาดูมาเป็นอาทิตย์จนปวดหัวเจ้าค่ะ มีอันนั้นไม่มีอันนี้ ขัดใจค่ะมันขัดใจ จนต้องมาลองดูMachanical keyboardอย่างจริงๆจังๆ เพราะส่วนตัวเห็นของสามีแล้วชอบ มีไฟๆด้วย เสียงเวลาพิมพ์มันก็มันส์มาก น่าจะพิมพ์สนุก ก่อนหน้านี้ปัดตกเพราะกลัวมันเสียงดังเวลาลูกหลับ แต่ใจมันอยากได้อ่ะเนอะ รอใช้ตอนลูกยังไม่หลับละกัน ฮ่าๆMachanical keyboard (อธิบายแบบบ้านๆ) ก็คือ คีย์บอร์ดที่ต่างจากแบบที่เราซื้อมาไม่กี่ร้อยที่มาใช้พิมพ์งานทั่วไป คีย์บอร์ดทั่วไปถ้าเกิดมันเสียตัวใดตัวนึง มันไม่สามารถเปลี่ยนได้ ซื้อใหม่อย่างเดียว แต่เจ้านี่ทำได้ฮะเราสามารถถอดเปลี่ยนสวิตซ์ที่อยู่ใต้คีย์แคปได้ ซึ่งมีให้เลือกมากมายก่ายกอง หลายแบบหลายค่ายมาก แต่ละแบบก็จะให้ความเด้งสู้มือ และเสียงกดที่แตกต่างกันออกไปต่อมาด้วยคีย์แคป(ตัวปุ่มกดที่มีตัวหนังสืออยู่) น้องมีหลายสี หลายแบบ หลายลาย จะเอาแบบเท่ แบบน่ารักมีให้เลือกไม่หวาดไม่ไหว ถ้าศึกษาหาดูต่อน้องมีประเภทใหญ่ที่บอกชนิดของพลาสติกที่ใช้ (ABS , PBT) แล้วยังมีหมวดย่อยการเรียกชื่อเพื่อบ่งบอกถึงความสูงต่ำของตัวคีย์แคป (XDA , Cherry , OEM , JDA , OSA , ASA) อีกต่างหากขนาดคีย์บอดมีหลายขนาด และก็ไม่ได้มีปุ่มกดครบทุกตัว ยิ่งขนาดเล็กยิ่งมีปุ่มกดน้อยลง บางยี่ห้อทำขนาดให้เล็กกว่าแบบFull size และมีNumpad ก็จริง แต่ปุ่มกดจะติดกัน อาจจะพิมพ์ผิดๆถูกๆได้ตัวที่ซื้อมาคือ AKKO 3098B 9009 Retroขนาด 382*134*40 มม.น้ำหนัก 1.1 กิโลกรัมสามารถเปลี่ยนสวิตซ์เองได้(Hotswap) สวิตซ์ที่ได้มาเป็นJelly Pink (กดง่าย นิ่ม เสียงโทนออกแหลมๆ)สามารถเชื่อมต่อได้ 3 ระบบ (Bluetooth / Wireless 2.4Ghz / USB Type-C) รองรับ Bluetooth 3 devices (E R T) wireless 1 device (Y) สายUSB (U)ไฟ RGB (20โหมด และสามารถปรับทิศทาง ความสว่าง และความเร็วของไฟได้อีกด้วย)ความจุแบตเตอรี่ 3000 mAhคีย์แคป PBT Doubleshot ASA profile (สูงเมื่อเทียบกับชนิดอื่น ประมาณ10-11มม. เกือบทุกแถว)รองรับ N-key rollover (เมื่อเรากด "ปุ่มบนคีย์บอร์ด" จำนวนหลายปุ่มในเวลาเดียวกันแล้ว ข้อมูลที่ถูกส่งออกไปนั้น คอมพิวเตอร์จะได้รับข้อมูลอย่างถูกต้อง)มีsoftware สำหรับตั้งโหมดไฟ Akko Macro V1.0รองรับทั้งระบบ Windows และ MAC OS (สลับสวิตซ์ด้านหลัง)MAC OS ใช้ฟังก์ชั่นของ F1-F12 และปุ่ม command ได้ประเทศจีนของแถมภายในกล่องคีย์แคปเสริม (สีเขียว 20 ปุ่ม และสีชมพู 20 ปุ่ม) 40 ปุ่มสายUSB Type-Cคู่มือการใช้งาน (ภาษาจีน/ภาษาอังกฤษ)ที่ดึงคีย์แคปพลาสติกUSB 2.4Gzเราซื้อผ่านร้านตัวแทนใน Shopee ราคา 3,490 บาท + เลเซอร์ภาษาไทย(ไม่มีหัว)เพิ่ม 399 บาทสรุปสี : ตัวบอร์ดจะออกเทาอ่อนหม่นๆ ไม่ได้ขาวจั๊ว สีคีย์แคปก็จะมีสีเทาอ่อน สีเทา สีเขียวหม่น สีชมพูหม่นขนาด น้ำหนัก : ไม่เล็ก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่เทอะทะ หนา มีน้ำหนักผิวสัมผัส : สากมือเล็กน้อยเวลากด : เด้งสู้มือหน่อยๆ กดง่าย นิ่มแต่ไม่สุด (เคยลองกดของสามีที่เอาไปลูปมานิ่มกว่า ฮ่าๆ)เสียง : เสียงดังประมาณนึง ถ้าพิมพ์ตอนลูกหลับตื่นแน่ๆการเชื่อมต่อ : ตั้งแต่ใช้มาผ่านบลูทูธอย่างเดียว ต่อง่าย เวลาพิมพ์ทั่วไป ไม่หน่วงไฟ RGB : มีโหมดไฟให้เลือกหลายแบบ เราเลือกแบบกดตัวไหนไฟสว่างวาบตรงนั้น เวลาพิมพ์เร็วๆให้มันสว่างแข่งกันมันสนุกดีMechanical keyborad มีหลายอย่างให้ศึกษา ราคาก็ใช่เล่น ก่อนซื้อควรหาข้อมูลเยอะๆน้า จะได้จบที่ตัวเดียว แล้วไปเสียเงินซื้อสวิตซ์กับคีย์แคปแทน ก๊ากๆภาพทั้งหมดโดย Chocobiอ้างอิงข้อมูล: คู่มือการใช้งาน AKKO 3098Bเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Chocobi • 26 ก.ย. 65
อ่าน
พาไปส่องงานเปิดตัว 137 Degrees x ButterBear
สวัสดีค่ะหลายวันก่อนเราได้มีโอกาสไปร่วมงานเปิดตัวสินค้า 137 Degrees ที่พาราก้อน เป็นงานเปิดตัวพรีเซนเตอร์คนสวยคนใหม่ นั่นก็คือน้องหมีเนย Butter Bear นั่นเองจ้า เรียกว่าเลิศหรู แถมมีทั้งความน่ารักและก็ยังได้รู้จักสินค้าแบรนด์ใหม่ๆของทางบ้านเราด้วย นั่นก็ แบรนด์ 137 Degrees เหมาะสำหรับใครที่ไม่ชอบดื่มนมวัวเพราะว่า นมของทางแบรนด์ทำจากถั่วชนิดต่างๆค่ะ โดยงานนี้เป็นการรวมตัวของผู้โชคดีที่ทางแบรนด์ได้ประกาศกิจกรรมให้ร่วมสนุกไปก่อนหน้านี้ค่ะ โดยงานนี้มีชื่อเต็มว่า Meet Milk: จิบนมฮีลใจกับน้องเนย By 137 Degrees ว้าว แค่ภาพเปิดตัวเชิญชวนไปงานก็น่ารักแล้วค่ะ นมเพื่อสุขภาพน้องหมีเนยก็เลยต้องออกกำลังกายสักหน่อย อิอิ 37 Degrees x ButterBear วันที่ไปร่วมงานจะบอกว่างานจัดมาในรูปแบบ Canival เปิดตัวได้หรูหราพร้อมกับความน่ารักของน้องหมีเนยที่มีลวดลายรุ่นพิเศษออกมาให้พวกเราได้สะสมกันหลายรุ่นเลยค่ะ และแต่ละรุ่นก็มีน้องหมีเนยใส่ชุดน่ารักๆแต่ละแบบอยู่ข้างแต่ละรสชาติค่ะ ซึ่งแต่ละรสชาติก็จะมีน้องหมีเนยก็จะทำจากถั่วหลายๆอย่างค่ะ บรรยากาศภายในงาน น่ารักมากๆเลยค่ะ เพราะว่าเขาได้ทำการตั้งสแตนดี้ของน้องเนยควบคู่ไปกับกล่องนมแต่ละรุ่นขนาดใหญ่เอาไว้ให้แฟนคลับได้ถ่ายรูปเก็บภาพกันอย่างสนุกสนานก่อนน้องจะมาค่ะ และนอกจากนั้นแล้วงานด้านในก็ยังมีกิจกรรมให้ผู้โชคดีได้ร่วมกิจกรรมกันอีก รุ่นพิเศษ Butter Bear Limited edition จะมีให้พวกเราสะสมถึง 5 ลาย 5 รส เลยทีเดียว !! Macadamia milk นมแมคาเดเมีย ,Almond Milk อัลมอนด์ , Walnut Milk นมวอลนัท , Pistachio Milk นมพิสตาชีโอ , Belgian Chocolate รสช็อคโกแลตเบลเยียม และในงานมีให้ชิมด้วยนะคะ หลังจากน้องเนยมาถึงก็มีวีดีโอเปิดตัวพร้อมกับเพลงกึ่งมิวสิคเคิล สุดพิเศษ ที่น้องเนยและทีมงานมาพิเศษเพื่องานนี้โดยเฉพาะ และมีวลีเด็ดที่ทำให้ทุกคนขำพร้อมกันก็คือ " คนจะผอมเขาไม่ทานมื้อดึกกันหรอกค่ะมัม!! " หลังจากที่ได้ชิมเราจะบอกทุกคนว่าถ้าใครชอบนมที่มีรสชาติมันหน่อย บอกเลยว่าแบรนด์นี้จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากนมวัวทั่วไปค่ะ หวังว่าบทความที่เรานำมาฝากจะทำให้ทุกคนรู้จักแบรนด์นี้และก็รุ่นพิเศษของน้องหมีเนยรุ่นนี้มากขึ้นค่ะ ^^ ขอบอกหน่อยนึงว่าตอนนี้น้องไม่ได้มีขายรุ่นน้องเนยแค่ใน 7-11 อย่างเดียวแล้วนะคะ เพราะว่าเราเริ่มเห็นแบรนด์เพิ่มรุ่นของน้องเนยที่ห้าง Tops แล้วค่ะ ใครที่กำลังตามหาก็ลองไปดูกันได้เลยคิดว่าหลังจากนี้น่าจะหาลายน้องได้ง่ายขึ้นค่ะ ข้อมูล : Mallibell ภาพประกอบ : 1 Mallibell เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Mallibell • 30 เม.ย. 68
อ่าน
ประสบการณ์เรียน Pre-degree ม.รามคำแหง ครั้งแรกตลอด 1 เทอม
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ห่างหายกันไป 3 เดือนกว่าเลยเลยที่ผมไม่ได้เขียนบทความ ต้องขอเกริ่นสาเหตุที่ไม่ได้เขียนบทความเนื่องจากติดงานหลายอย่าง ผมเป็นนักเรียนมัธยมปลายและเรียน Pre-degree ม.รามคำแหงไปด้วย และช่วงก่อนหน้าที่ผ่านมาเป็นช่วงสอบของโรงเรียนตามด้วยของมหาวิทยาลัยรามคำแหงผมจึงไปเตรียมตัวสอบ และได้ผ่านช่วงเวลาสอบมาแล้ว ผมจึงอยากจะเอาประสบการณ์การเรียน เรียนของตัวเองในช่วง 1 เทอมที่ผ่านมาแบ่งบันให้เพื่อน ๆ ให้ได้ทราบต้องขออธิบายกันก่อนนะครับว่า Pre-degree คืออะไรสำหรับเพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านแล้วอ่านไม่ทราบ แต่ผมเดาว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาอ่านบทความนี้น่าจะเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหงเช่นเดียวกันกับผม แต่จะขอให้ข้อมูลไว้ เผื่อมีรุ่นถัดมาหาข้อมูลสนใจเรียน Pre-degree เหมือนกันกับผมผมจะสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ นะครับPre-degree คือการเรียนปริญาตรีล่วงหน้า เหมาะสำหรับคนที่จบ ม.3 แล้ว โดยนักศึกษา Pre-degree สามารถเรียนควบคู่ไปกับมัธยมปลายได้ เมื่อสมัครเป็นนักศึกษา Pre-degree ก็ลงทะเบียนเข้าเรียนออนไลน์หรือในมหาวิทยาลัยตามแต่สะดวก และก็สอบปลายภาคครับ ข้อดีคือเหมาะสำหรับคนที่รู็ตัวเองเร็วว่าชอบอะไรอยากเรียนอะไร และผู้ที่ต้องการจบปริญญาตรีเร็วกว่าปกติครับสำหรับผมนั้นสมัครเป็น Pre-degree (ส่วนกลาง) รหัส 66 และเรียนคณะมนุษย์ศาสตร์ เพราะผมมีความสนใจในภาษาญี่ปุ่น จึงเลือกเรียนวิชาเอกเอกญี่ปุ่น และวิชาโทภาษาไทยวิทยาครับ อันที่จริงอยากให้มีคณะมนุษย์เปิดสอนในส่วนภูมิภาคด้วยแต่ว่าก็ไม่มีคณะนี้เปิด จึงทำให้ผมตัดสินใจเรียนส่วนกลางตามความชอบของตนเอง ข้อดีของมหาวิทยลัยรามคำแหงที่ผมชอบคือเราสามารถจัดการบริหารเวลาเรียนเองได้เพราะเราแค่ลงเรียนในวิชาที่โครงสร้างหลักศุตรกำหนดโดยลงได้สูงสุด 22 หน่วยกิตต่อเทอม และลงได้ 3ภาคเรียน คือ 1และ 2 และภาคฤดูร้อนแต่ภาคฤดูร้อนจะลงได้น้อยกว่า ลงเสร็จสอบผ่านก็ยื่นขอจบการศึกษาได้เร็ว อย่างคณะผมใช้ 139 หน่วยกิต จบเร็วที่สุดได้ก็แค่ 3 ปี อีกอย่างคือไม่ว่าอายุเท่าไหร่ก็สามารถสมัครเป็นนักศึกษาเข้าเรียนได้ ให้อิสระกับการศึกษาและการบริหารจัดการตัวเอง ผมว่าเป็นมหาวิทยาลัียที่เหมาะกับผมครับและอีกอย่างคือการเปิดให้นักเรียน ม.ปลายเรียนล่วงหน้าคือการ Pre-degree เพื่อน ๆ คนไหนชอบสไตล์การเรียนแบบนี้ผมก็ขอชวนมาสมัครเรียนกันได้เลยนะครับ จุดเริ่มต้นการสนใจเรียน เกิดขึ้นในช่วงท้าย ม.3 ของผมหลังจากที่ผมได้เลือกเรียนต่อ ม.ปลาย แผนการณ์เรียนวิทยาศาสตร์ -คณิตศาสตร์ (เพิ่มเติมภาษาญี่ปุ่น) จึงอยากลองเรียนภาษาญ๊่ปุ่นในระดับที่สูงขึ้นไปอีก หากเพื่อน ๆ จะตัดสินใจเรียนอะไรก็ลองหาสิ่งที่เหมาะกับเราและตัดสิ้นใจเลือกนะครับในส่วนของการเรียนผมยอมรับเลยว่าเหนื่อยมาก ๆ เพราะนอกจากจะต้องเรียนในโรงเรียนแล้วนักศึกษา Pre-degree อ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย โดยผมใช้อ่านเอกสารที่สอนและทำสรุปเป็นไฟล์ไว้อ่าน แล้วมันก็จะมีบางวิชาที่อาจารย์ไม่ได้ทำเอกสารประกอบการสอนผมก็ใช้วิธีดูบรรยายย้องหลัง ซึ่งสามารถรับชมผ่านเว็บไซต์ได้เป็นอะไรที่สะดวกมาก ๆ แล้วก็ทำสรุปเนื้อหาครับ เทอม 1 /66 ตอนนี้เกรดออกมาก็เป็นประมาณนี้เลยบางเกรดก็พอจะรู้ก่อนผลออกเพราะ จากการที่ไปสอบ e-testing ก็พอจะรู้เกรดแล้วบางวิชาไว้ถ้ามีโอกาสผมจะเอาเรื่องสอบ e-testing มาเขียนให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันครับแหม ผมเองก็ได้มาครบเลย ตั้งแต่ A ถึง F เลยต้องรับกันแบบอบอุ่นสำหรับการเป็นนักศึกษาใหม่เทอมแรกของผม แต่ก็ผ่านไปสำหรับประสบการณ์การเรียน มาถึงช่วงสอบผมต้องเดินทางจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพ ก็ด้วยความที่เราไม่เคยไปกรุงเทพ ก็ครั้งนี้และก็เป็นโอกาสครั้งแรกที่ได้ไป ผมก็ฝึกเดินทางด้วยตัวเองในกรุงเทพอ่ะน่ะแรก ๆ ก็มีไปทันบ้าง หลัง ๆ ก่อนเริ่มเรียนแล้ว ผมชอบแวะไปหอสมุดกลางมหาวิทยาลัยมาก ๆ มีหนังสือให้อ่านเยอะเลยบรรยากาศเงียบสงบ และมีมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านการเรียนเยอะเลย การเรียน Pre-degree ม.รามคำแหง เทอมแรกของผมก็สนุกมากแต่เหนื่อยโดยรวมผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้ผมได้พัฒนยาตนเองได้เรียนรู็อะไรหลายอย่างและได้ความรู้ใหม่ ๆ ในชีวิตนอกจากการเรียนการสอนแล้วผมก็ได้ประสบการณ์ต่าง ๆ มากครับ สุดท้ายนี้ขอขอคุณที่อ่านกันมาจนจบนะครับ ใกล้ปีใหม่แล้ว สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับภาพปกออกแบบด้วย canva ภาพประกอบปกบทความ จาก canva ของ aopsan ภาพที่ 1 ขอบคุณรูปภาพจาก lil_foot_ จาก Pixabayภาพที่ 2 ขอบคุณรูปภาพจาก Sasin Tipchai จาก Pixabayภาพที่ 3 โดยผู้เขียน ขอบคุณรูปภาพจาก Ramkhamhaeng University. RU Course on Demand (M-Learning) ภาพที่ 4 โดยผู้เขียน ขอบคุณรูปภาพจาก e-Services Ruติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง ใช้เป็นภาพประกอบบทความเท่านั้นเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
NaaiKianKot • 7 ม.ค. 67
อ่าน
เรียนภาษาฟรี ช่วงกักตัว แถมได้ใบCertificated อีกด้วย!
เพราะการเรียนรู้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด และไม่จำกัดช่วงอายุหรือเวลาแต่อย่างใด โดยเฉพาะสถานการณ์โควิด 19 ในปัจจุบัน ที่ทำให้ใครหลายๆคนต้องทำงานอยู่บ้านหรือWork from home บางครั้งเราอาจมีอาการเบื่อๆบ้าง วันนี้เราจึงมีช่องทางสำหรับการเรียนภาษาอยู่บ้านมาฝากกัน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาภาษาของตนเองให้ดีขึ้น และต้องการเรียนรู้ภาษาที่2หรือ3มากขึ้น เพื่ออาจนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ เช่น การเตรียมตัวสอบเข้าเรียน สอบเข้าทำงาน สอบวัดความรู้ระดับภาษา หรือแม้กระทั้งเอาไว้ใช้สำหรับการเพ่มเงินเดือนก็ได้ด้วยเช่นกัน และที่ดีที่สุดคือ เมื่อเรียนจบคอร์สและสอบผ่านการทดสอบ สามารถยื่นขอใบประกาศนียบัตร(Certificated) ไปไว้ใช้สมัครงานกันได้ด้วย โดยในวันนี้เรานำมาฝากด้วยกันทั้งหมด 3 คอร์ส ซึ่งเป็นคอร์สที่นักเขียนได้ไปลองเรียนมาแล้วดวยตนเอง บอกเลยว่าไม่ยาก ได้แก่ ไวยากรณ์และการออกเสียงภาษาอังกฤษ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยListening and Speaking for Communication จาก คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล First Step Korean จากมหาวิทยาลัยยอนเซ ประเทศเกาหลีไวยากรณ์และการออกเสียงภาษาอังกฤษ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคอร์สภาษาอังกฤษ โดยจะสอนในเรื่องเกี่ยวกับไวยากรณ์เบื้องต้น การออกเสียงในภาษาังกฤษ การเน้นเสียงและการออกเสียงคำที่มักจะออกเสียงผิด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาภาษาอังกฤษทั่วไป โดยในคอร์สนี้มีความยากไม่มาก จึงเหมาะสำหรับทุกช่วงอายุ ผู้ที่ไม่มีพื้นฐานก็สามารถเรียนได้ และเหมาะกับผู้ที่มีเวลาจำกัด บทเรียนในแต่ละบทเรียนใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น โดยมีทั้งหมด 9 บทเรียน ได้แก่– EP 1 : Important Grammar Points– EP 2 : Tips for Error Identification #1– EP 3 : Tips for Error Identification #2– EP 4 : Tips for Error Identification #3– EP 5 : English Pronunciation: Problem Sounds– EP 6 : Word Stress #1– EP 7 : Word Stress #2– EP 8 : Word Stress #3– EP 9 : Linking Sounds เมื่อเรียนจบคอร์ส ผู้เรียนที่สอบได้คะแนนหลังเรียนมากกว่า 60%ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตร(Certificated) เข้าดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ CHULA MOOC หรือ https://mooc.chula.ac.th/Listening and Speaking for Communication จาก คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คอร์สนี้เป็นคอร์สที่มีความยากขึ้นมาจากคอร์สก่อนหน้า ใช้เวลาเรียนออนไลน์นานขึ้ โดยเวลาทั้งคอร์สจะอยู่ที่ 15 ชั่วโมง เนื้อหาเกี่ยวกับการฝึกฝนทักษะการฟังและการพูดในสถานการณ์ต่างๆในชีวิตประจำวัน การอภิปราย วัจนกรรม การตีความและวิเคราะห์ข้อความจากการสนทนา การบรรยายและการอ่านข้อความทางวิชาการ ข่าวสาร รายงานข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับการสื่อสารในชีวิตประจำวัน โดยมีเนื้อหาทั้งหมด 5 บทเรียน ได้แก่LO1 บอกใจความสำคัญ รายละเอียด และจุดมุ่งหมายของสิ่งที่ผู้พูดต้องการสื่อได้LO2 ออกเสียงพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องLO3 สนทนาภาษาอังกฤษในบริบทที่หลากหลายได้LO4 ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้LO5 พูดต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ เมื่อเรียนจบคอร์ส ผู้เรียนที่สอบได้คะแนนหลังเรียนมากกว่า 50%ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตร(Certificated) เข้าดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ MOOC Mahidol หรือ https://mooc.mahidol.ac.th/First Step Korean จากมหาวิทยาลัยยอนเซ ประเทศเกาหลี สำหรับใครที่กำลังมองหาภาาที่3 และชื่นชอบในการดูซีรีส์เกาหลี หรือเป็นแฟนคลับไอดอลเกาหลี ต้องถูกใจคอร์สนี้เป็นอย่างมาก คอร์สนี้เป็นคอร์สสอบภาษาเกาหลีเบื้องต้น ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงระดับที่สามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ได้เบื้อนต้น ครอบคลุม 4 ทักษะคือการอ่าน การเขียน การฟังและการพูด โดยมีเนื้อหาที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่นคำทักทาย แนะนำตัวเอง พูดคุยเกี่ยวกับครอบครัวและชีวิตประจำวันเป็นต้น แต่ละบทเรียนจะมีบทสนทนา การออกเสียงคำศัพท์ ไวยากรณ์ แบบทดสอบและการแสดงบทบาทสมมติ ที่สำคัญสอนโดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยยอนเซเป็นมหาวิทยาลัย Top3 ของประเทศเกาหลี ที่มีอัตราการแข่งขันสอบเข้าสูงมากๆ ใช้เวลาในการเรียนประมาณ 15 ชั่วโมง เนื้อหาบทเรียนของคอร์สนี้มีทั้งหมด 5บทเรียน ได้แก่1. Introduction The Korean Alphabet2. Greetings and Introducing3. Family4. Time and Date5. Daily Lifeโดยในแต่ละบทเรียน จะมีQuizให้ทำท้ายบทเรียน ถ้าเราสามารถทำคะแนนได้มากกว่า 60% ของทุกๆบท จะได้รับประกาศนียบัตร(Certificated) เข้าดูรายละเอียดได้ที่ https://www.classcentral.com/report/coursera-free-certificate-covid-19/ เรียกได้ว่าน่าสนใจมากๆสำหรับ 3 คอร์ส ที่นำมาฝากกันในวันนี้ สำหรับใครที่กำลังเบื่อๆกับการกักตัวอยู่บ้าน หรืออยากศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แต่ไม่อยากออกไปเรียนนอกบ้าน การเรียนออนไลน์แถมได้ใบประกาศนียบัตรแบบนี้ ถือเป็นเรื่องที่เหมาะมากๆสำหรับสถานการณ์นี้เลย ใครที่สนใจ ลองไปติดตามรายละเอียดหน้าเว็บไซต์ของแต่ละคอร์ส แต่ละมหาวิทยาลัยกันได้เลย ขอบคุณภาพจากภาพปก/ภาพ1,2 และ3 โดยนักเขียน
etcetera • 17 มิ.ย. 63
อ่าน
เรียนวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering) จบมามีงานทำดีไหม ?
ภาพปกจาก: Pixabay / Borko Manigoda รีวิว วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา (Civil Engineering) เรียนเกี่ยวกับอะไร? จบมามีงานทำดีไหม? มีรายได้เป็นอย่างไรบ้าง?สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา หรือ Civil Engineering เป็นสาขาวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ การออกแบบ การก่อสร้าง และการบำรุงรักษา สิ่งปลูกสร้างต่างๆ การสร้างตึก อาคาร สะพาน ถนน ระบบขนส่ง สร้างเขื่อน ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ตลอดจนการทำรังวัดในงานสำรวจและแผนที่ รวมไปถึงการวิเคราะห์ทางธรณีและชลศาสตร์ นอกจากนี้ยังจะต้องเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการงานก่อสร้างอย่างถูกวิธีให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด โดยใช้พื้นความรู้ในด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์ และพื้นฐานทางวิศวกรรมเป็นหลัก ต้องสามารถประยุกต์ทฤษฎีทั้งหลายเพื่อมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด อีกด้วยครับผม ภาพจาก: Pixabay / Engin Akyurtวิศวกรรมโยธา ได้เข้ามาในประเทศไทย ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2546 ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และต่อมาก็ได้เปิดการเรียนการสอนกันอย่างแพร่หลาย ในหลากหลาย หมาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ อื่นๆ------------------------------------------------------------------------------------------สำหรับ สาขาวิศวกรรมโยธา จะต้องทำการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรม หรือ กว. เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นวิศวกร เสียก่อน จึงจะสามารถประกอบอาชีพได้ โดยวิศวกรรมโยธา สามารถแบ่งแยกย่อยได้หลากหลาย สาขา ยกตัวอย่างเช่น วิศวกรรมโครงสร้าง, วิศวกรรมก่อสร้างและการจัดการ, วิศวกรรมขนส่ง, วิศวกรรมธรณี, วิศวกรรมสำรวจ และ อื่นๆ เป็นต้น หากน้องๆ สนใจสามารถเข้าไปดู หรือศึกษารายละเอียดต่างๆ ได้ตาม เว็บไซด์ ของแต่ละมหาวิทยาลัยได้เลยนะครับ ภาพจาก: Pixabay / Dimitris Vetsikas------------------------------------------------------------------------------------------เดี๋ยวเรามาดู สำหรับรายวิชาที่ทาง สาขาวิศวกรรมโยธา ต้องเรียนนั้น แต่ละมหาวิทยาลัยก็จะแตกต่างกันไม่มากนะครับ ซึ่งก็จะสามารถแบ่งออกเป็นหลักๆ ดังนี้1. หมวดวิชาศึกษาทั่วไป ก็คือ วิชาทั่วๆไป ที่ต้องปรับพื้นฐานที่มาจากระดับ มัธยม นั้นเองครับ เช่น กลุ่มวิชาทางด้านภาษา กลุ่มวิชามนุษย์ศาสตร์ และสังคม กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์2. หมวดวิชาเฉพาะทางวิศวกรรมศาสตร์ ก็คือ หมวดวิชาเฉพาะที่ทาง สาขาวิศวกรรมโยธา ต้องเรียนนั้นเองครับ ซึ่งสามารถแบ่งเป็น หมวดวิชาย่อยๆ ดังนี้2.1 กลุ่มวิชาพื้นฐานทางวิศวกรรมศาสตร์ ก็คือ วิชาที่นักศึกษาที่เรียนวิศวกรรมศาสตร์ ทุกคนต้องเรียน ส่วนใหญ่ก็จะได้เรียนคล้ายๆกันในทุกๆ สาขาวิชา แต่ก็จะมีแตกต่างกันเล็กน้อยไปตาม สาขาวิชาที่เรียนนะครับ เช่น วิชาวัสดุวิศวกรรม, วิชากลศาสตร์วิศวกรรม, วิชาเขียนแบบวิศวกรรม, กลศาสตร์ของไหล หรือ การเขียนแบบคอมพิวเตอร์สำหรับวิศวกรรมโยธา เป็นต้น2.2 กลุ่มวิชาบังคับทางวิศวกรรมศาสตร์ ก็คือ วิชาที่มีเรียนเฉพาะ สาขาวิศวกรรมโยธา ซึ่งทางมหาวิทยาลัยบังคับให้เราต้องเรียน ยกตัวอย่าง เช่น วิชาการสำรวจ, วิชาการวิเคราะห์โครงสร้าง, วิชาสถิติสำหรับวิศวกรรมโยธา, วิชาปฐพีกลศาสตร์, วิชาวิศวกรรมชลศาสตร์, วิชาอุทกวิทยา, วิชาวิศวกรรมการทาง, วิชาการประเมินราคาก่อสร้าง หรือ วิชาการบริหารงานก่อสร้าง เป็นต้น วิชาบังคับทางวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยก็อาจจะมีความแตกต่างกันนิดหน่อยนะครับ2.3 กลุ่มวิชาเลือกทางวิศวกรรมศาสตร์ ก็คือ วิชาเลือกที่เราสามารถเลือกเรียนได้ ตามความต้องการของเรา ตามที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดขึ้นมา ซึ่ง ความรู้ทาง สาขาวิศวกรรมโยธา นั้น สามารถประยุกต์ใช้ได้ กับหลากหลาย สาขา ซึ่งวิชาเลือกที่เราจะเลือกเรียน ก็ต้องเลือกตามที่ตัวเรามีความสนใจ เช่น วิชาการบริหารงานวิศวกรรม, วิชาภาพถ่ายทางอากาศเชิงเลข, วิชาการสำรวจดาวเทียม, วิชาการออกแบบอาคาร, วิชาการออกแบบสะพาน, วิชาการพัฒนาทรัพยากรน้ำ หรือ วิชาวิศวกรรมแม่น้ำเบื้องต้น เป็นต้น3. หมวดวิชาเลือกเสรี ก็คือ เป็นวิชาที่เราสามารถเลือกเรียนได้ตามที่เราชอบ และที่ทางมหาวิทยาลัยทำการเปิดการเรียนการสอนได้เลยนะครับซึ่งรายละเอียด ของหลักสูตร หรือรายวิชาที่เรียน ของแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะมีความแตกต่างกัน นิดหน่อย น้องๆ เวลาจะเลือกเรียนต่อ ก็ลองอ่านหลักสูตรดูก่อนนะครับว่า ชอบหรือไม่ชอบ เหมาะกับเราหรือเปล่า เราได้ประโยชน์ในการเรียนไหม เพราะการเรียนนั้น เราต้องเรียนให้รู้และสามารถนำมาใช้งานได้จริง ไม่ใช่ว่าเรียนเพื่อต้องการให้จบๆ ไป นะครับ เพราะถ้าคิดแบบนี้ หลังจากมาทำงานก็อาจจะมีปัญหาได้นะครับ ยังไงน้องๆ ก็ลองเปิดเปรียบเทียบหลักสูตรของแต่ละแห่ง ดูก่อนนะครับผม ก่อนจะตัดสินใจภาพจาก: Pixabay / Convegni_Ancisa------------------------------------------------------------------------------------------สาขาวิศวกรรมโยธา เรียนจบมาแล้ว สามารถเข้าไปทำงานได้หลากหลาย องค์กร ทั้งหน่วยงานของรัฐบาล หรือ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน และสามารถประกอบอาชีพได้ในหลากหลายสายงาน เช่น วิศวกรก่อสร้าง วิศวกรโครงการ วิศวกรด้านผลิตภัณฑ์วัสดุ วิศวกรสำรวจเส้นทางในการสร้างถนน หรือระบบขนส่ง ที่ปรึกษางานก่อสร้าง ผู้รับเหมา เป็นต้น ต่อไปมาดูเงินเดือนเริ่มต้น ของ สาขาวิศวกรรมโยธา กันนะครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะครับว่า ตัวเลขที่ผมนำมาโชว์ตรงนี้นั้น เป็นแค่ค่าเฉลี่ยที่มาจากบริษัทแห่งหนึ่งเท่านั้นนะครับ โครงสร้างเงินเดือนของแต่ละ บริษัทนั้นไม่เท่ากันนะครับ ตัวเราจะได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเราเอง บวกกับ โครงสร้างเงินเดือนขององค์กร ด้วยนะครับสำหรับ เงินเดือนของเด็กจบใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์ แต่ละสาขาก็จะใกล้เคียงกัน ไม่แตกต่างกันมาก เงินเดือนก็จะเริ่มอยู่ที่ประมาณ 18,000 – 35,000 บาทต่อเดือน และหากมีประสบการณ์ตั้งแต่ 1 – 3 ปี เงินเดือนก็จะอยู่ที่ประมาณ 22,000 – 50,000 บาทต่อเดือน และหากมีประสบการณ์ ตั้งแต่ 3 – 5 ปี เงินเดือนก็จะอยู่ที่ประมาณ 35,000 – 75,000 บาทต่อเดือน และหากมีประสบการณ์ ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เงินเดือนก็ควรจะมากกว่า 55,000 บาทต่อเดือน ขึ้นไป จะได้มาก หรือได้น้อย ก็จะขึ้นอยู่กับความสามารถ และประสบการณ์ของแต่ละคนนะครับ ------------------------------------------------------------------------------------------สำหรับ วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา หรือ Civil Engineering นั้นก็มีเปิดทำการเรียนการสอนมากมาย ในหลายมหาวิทยาลัย ทั้งของภาครัฐ และเอกชน น้องๆ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตาม เว็บไซต์ ของแต่ละมหาวิทยาลัย ได้เลยนะครับผม ภาพจาก: Pixabay / Dimitris Vetsikas ------------------------------------------------------------------------------------------เป็นไงบ้างครับ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกๆท่าน พอจะมองภาพของ สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา ได้ชัดเจนมากขึ้นบ้างไหมครับ หากมีคำถาม หรือ ต้องการที่จะรู้รายละเอียดของสาขาวิชาไหน ก็สามารถ เขียนคอมเม้นมาได้เลยนะครับ ติดตามกันไปเรื่อยๆ ฝากกดติดตาม ขอบคุณมากครับผม เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WANDIntelligence • 24 พ.ค. 64
อ่าน
"Thai MOOC" เรียนออนไลน์ฟรี! มีใบ Certificate รับรองด้วย!
หากคุณอยากเรียนหนังสือ แต่เงินที่เก็บไว้ไม่พอค่าเทอมหากคุณอยากได้ความรู้ แต่ไม่อยากไป (ขี้เกียจ?) เข้าห้องเรียนหากคุณทำงานประจำ แต่ก็อยากเสริมทักษะใหม่ ๆ โดยไม่กระทบกับหน้าที่การงานหากคุณเป็นบุคคลในวัยเกษียณ แต่ก็ไม่อยากหยุดที่จะเรียนรู้ หากคุณมีเวลาว่างและอยากเป็นนักสะสมใบ Certificateภาพถ่ายโดย Lizandro Flores จาก Pexels ผู้เขียนอยากจะเชิญชวนทุกท่านไปทำความรู้จักกับห้องเรียนออนไลน์ฟรี! ที่เรียนได้ด้วยตัวเอง เรียนเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่เราสะดวก เพียงแค่คุณมีคอมพิวเตอร์หรือโน๊คบุ๊คและมีอินเตอร์เน็ต แล้วคลิกไปที่เว็บไซต์ https://thaimooc.org/ หรือ "Thailand Massive Open Online Course (Thai MOOC)" คุณจะได้พบกับคอร์สเรียนหลากหลายวิชาจากครูผู้สอนหลากหลายสถาบันที่พร้อมเสิร์ฟความรู้ถึงที่! เพียงแค่คุณนั่งเรียนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ค (โห อะไรจะสะดวกเบอร์นี้) หลายคนอาจจะยังไ่ม่รู้จักห้องเรียนออนไลน์นี้ จากการที่ผู้เขียนได้ลองเข้าไปเรียนออนไลน์ตามรายวิชาที่ผู้เขียนสนใจและได้ใบ Certificate มาครอบครอง รู้สึกดีแบบ "เฮ้ยแก เราเรียนคอร์สนี้จบแล้วนะ เราสอบผ่าน เราทำได้ เราได้ใบ Certificate แล้วด้วย" จึงอยากมาแบ่งปันสิ่งดี ๆ เพราะการศึกษาคือสิ่งที่ทุกคนควรมีนะจ๊ะภาพจาก https://thaimooc.org/ "Thailand Massive Open Online Course" เรียกย่อ ๆ ว่า "Thai MOOC" คือการศึกษาแบบเปิดเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีิวิต ที่ให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าเรียนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยไม่มีการเก็บค่าลงทะเบียนเรียน ไม่ต้องสอบเข้า ไม่จำกัดจำนวนรับ เป็นโครงการภายใต้นโยบายสำคัญของรัฐบาล การศึกษาระบบเปิดที่เกิดจากความร่วมมือของ "โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย" "สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ" และ "กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม" โดยมีสถาบันการศึกษา ผู้เชี่ยวชาญจากสาขาอาชีพนั้น ๆ และหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกันพัฒนารายวิชาและจัดการเรียนการสอน ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ฯลฯ มีวิชาให้เลือกเรียนกว่า 330 รายวิชา ยกตัวอย่างเช่น ด้านการแพทย์และพยาบาล ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านเทคโนโลยี ด้านภาษา ด้านจิตวิทยา ด้านสังคมศาสตร์ ด้านการถ่ายภาพ ด้านนิเทศศาสตร์ ด้านการทำสื่อต่าง ๆ ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการเงิน ด้านกฎหมาย ด้านการออกแบบ ด้านเกษตร ด้านสาธารณสุข และอีกหลากหลายด้านที่น่านำมาเสริมทักษะให้แก่ตัวเอง เป็นการเรียนแบบการจัดเรียง content โดยมีสื่อวิดีโอเป็นหลัก มีกิจกรรมการเรียนที่เหมือนกับในห้องเรียนจริง ๆ เช่นการ discuss ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน หรือกับผู้เรียนด้วยกันเอง ทำให้ผู้เรียนได้รับมุมมองที่มาจากหลากหลายความคิดเห็น มีการเก็บคะแนนผ่านการทำบททดสอบหลังบทเรียนและข้อสอบวัดความรู้หลังเรียน ส่วนใหญ่เกณฑ์การผ่านอยู่ที่ 70% ขึ้นไปถึงจะได้ใบ Certificate (บางวิชาก็ 60% แล้วแต่รายวิชา) เราจะเรียนกี่วิชาก็ได้ แล้วแต่เราเลย จะเรียนหมดทุกวิชาเลยก็ได้ถ้าไหว (โอ้ววว คิดภาพได้ใบ Certificate 330 ใบ) ภาพจาก https://thaimooc.org/ การเรียนใน Thai MOOC มีหลายแบบ 1.ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามความสนใจ โดยไม่ต้องทดสอบความรู้ เนื่องจากไม่ต้องการนำผลการเรียนไปใช้ประโยชน์ใด ๆ2.ผู้เรียนที่ต้องการเก็บประวัติและผลการเรียนเพื่อไปใช้ประโยชน์ เช่น นำไปเทียบโอนเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา นำไปใช้เป็นหน่วยกิตในหลักสูตรที่เรียน หรือเก็บประวัติและผลการเรียนเพื่อเสนอหัวหน้างานและหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อเลื่อนตำแหน่ง เพื่อต่ออายุใบประกอบวิชาชีพ หรือเพื่อการสมัครงานประวัติและผลการเรียนรู้ของทุกคนจะถูกจัดเก็บอย่างต่อเนื่องในฐานข้อมูลประวัติการเรียนรู้และธนาคารหน่วยกิต โดยมีหน่วยงานด้านการศึกษาภายใต้กระ่ทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแลควบคุมภาพจาก https://www.pexels.com/th-th/photo/301920/ ในขณะที่เขียนบทความนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติโรค COVID-19 ระบาด รัฐประกาศเคอร์ฟิว ทำให้สถาบันการศึกษา ทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยต้องปิดชั่วคราว แต่การศึกษาจะหยุดชะงักไม่ได้ ระบบการศึกษาจึงต้องเปลี่ยนจากการเรียนในห้องเรียนมาเป็นเรียนในระบบออนไลน์ สำหรับใครที่เพิ่งรู้จัก Thai MOOC จากการอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกสนใจนะ มามะ อยากให้ลองเข้าไปเรียนดู แล้วจะได้รู้ว่า..เรียนฟรี มีอยู่จริง และสามารถติดตามบทความเกี่ยวกับแหล่งเรียน Online ฟรีอื่น ๆ ได้ โดยคลิกที่ https://bit.ly/2LI0hpw
ตะวันซันชายน์ • 19 พ.ค. 63
อ่าน
ซัมซุง ชวนคนไทยอัปสกิล Coding และ AI ฟรี! เพิ่มคอร์สใหม่ Samsung Innovation Campus 2025 เจาะลึกเนื้อหาเข้มข้น รับ e-Certificate ทันทีหลังเรียนจบ
ซัมซุง เดินหน้ายกระดับโครงการ Samsung Innovation Campus 2025 ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้วยเป้าหมาย “Innovation for All” ที่มุ่งสร้างโอกาสการเรียนรู้เทคโนโลยีให้เข้าถึงได้สำหรับทุกคนอย่างเท่าเทียม พร้อมเสริมความเข้มข้นของหลักสูตรออนไลน์ฟรี ครอบคลุมตั้งแต่ Coding ขั้นลึก การใช้ AI สร้างคอนเทนต์การตลาด ไปจนถึง Data Science เพื่อปลดล็อกทักษะดิจิทัลสำคัญที่ตลาดแรงงานทั่วโลกต้องการอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ทั้งนักเรียน คนทำงานที่ต้องการอัปสกิล และผู้เริ่มต้นที่สนใจ โดยเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาและรับประกาศนียบัตรจากซัมซุง โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นระดับโลกในการนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรกลับคืนสู่สังคม เพื่อเพิ่มองค์ความรู้และต่อยอดการใช้งานได้จริงทั้งในชีวิตประจำวัน การศึกษา และเส้นทางอาชีพ สะท้อนจุดยืนของซัมซุงในฐานะแบรนด์ที่ผลักดันนวัตกรรมให้เป็นพลังขับเคลื่อนอนาคตที่ดีกว่าอย่างแท้จริง สำหรับความพิเศษในปีนี้ ซัมซุงเดินหน้าขยายขอบเขตการเรียนรู้ จัดสอนเนื้อหาทั้งหมด 4 คอร์สออนไลน์ฟรี โดยเพิ่ม 2 คอร์สใหม่ที่เข้มข้นและทันสมัยยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์โลกยุค AI และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของทั้งสังคมการเรียนรู้และตลาดแรงงาน ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ได้จริงในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาโค้ดขั้นสูง (Advanced Coding), การใช้AI สร้างคอนเทนต์การตลาด (AI Marketing Content Creation), การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Science) และ พื้นฐานการคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking)ออกแบบมาให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมรับประกาศนียบัตรจากซัมซุงเพื่อเพิ่มโอกาสในเส้นทางอาชีพอย่างเป็นรูปธรรมSoftware Development Concepts and Testing with Pythonคอร์สใหม่ของปีนี้ที่จะยกระดับจากการเขียนโค้ดพื้นฐาน สู่ความเข้าใจแนวคิดการพัฒนาโปรแกรมอย่างเป็นระบบ พร้อมเรียนรู้เทคนิคการทดสอบโค้ดให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการต่อยอดจากพื้นฐานการเขียนโปรแกรมAI in Content Marketingอีกหนึ่งคอร์สใหม่น่าสนใจ ช่วยเปิดมุมมองใหม่ของการใช้ AI เพื่อสร้างสรรค์คอนเทนต์ทางการตลาด พร้อมวิธีการสร้างคอนเทนต์ให้น่าสนใจตรงใจผู้บริโภคยุคดิจิทัล เหมาะกับนักการตลาด นักสร้างสรรค์คอนเทนต์ คนทำงาน และนักเรียนที่ต้องการใช้AI เป็นเครื่องมือเพิ่มโอกาสทางธุรกิจหรือเพิ่มทักษะการนำเสนองานให้น่าสนใจIntroduction to Programming with Pythonคอร์สปูพื้นฐานการเขียนโปรแกรมสำหรับผู้เริ่มต้น ตั้งแต่ระดับ 0 ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปีที่ผ่านมา พร้อมกลับมามอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างคำสั่ง พื้นฐานการคิดแบบตรรกะที่จำเป็นสำหรับทุกสายอาชีพ แม้ไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็สามารถเริ่มเรียนได้อย่างมั่นใจA.I. in the Workplaceกลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง กับคอร์สเรียนที่พาไปรู้จักการใช้งาน AI ในบริบทของการทำงานจริง เรียนรู้เครื่องมือ เทคนิค และแนวทางการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและแก้ปัญหาในสายอาชีพต่าง ๆ พร้อมปูพื้นฐานให้นักเรียน นักศึกษา ได้เตรียมความรู้ ความเข้าใจก่อนเข้าสู่โลกของการทำงาน นอกจากหลักสูตรออนไลน์ที่เปิดให้ทุกคนเข้าเรียนได้ฟรีแล้ว Samsung Innovation Campus 2025 ยังเป็นการขยายโอกาส และต่อยอดความสำเร็จจากโครงการ Samsung Innovation Campus in School ที่ได้ลงพื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะด้านเทคโนโลยีให้เยาวชนและคุณครูในโรงเรียนทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย เพื่อขยายโอกาสในการพัฒนาทักษะความรู้อย่างเท่าเทียมและเท่าทันโลก
TNN ช่อง16 • 19 ส.ค. 68
อ่าน
ลุยเดี่ยวกับสาวผมบลอนด์สุดสวยกับเกม Tekken's Nina Williams in Death by Degrees
ใครจะไปคิดว่าตัวละครสาวสุดเซ็กซี่อย่าง Nina Williams จากเกมต่อสู้ชื่อดังอย่าง Tekken จะมีเกมภาคแยกของตัวเองกับเขาด้วย! กับเกม Death by Degrees ที่วางจำหน่ายบน PlayStation 2 เมื่อปี 2005 เกมนี้พาเราออกจากสังเวียนหมัดมวย ไปลุยเดี่ยวในภารกิจสายลับสุดระห่ำแบบเต็มตัว บอกเลยว่าตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเป็นแฟนตัวยงของ Nina อยู่แล้ว แถมตัวเกมยังดูมีกลิ่นอายแบบ Resident Evil ผสม Metal Gear Solid ที่ชอบอีกต่างหาก พอได้ลองเล่นจริงๆ แล้วจะเป็นยังไง มาติดตามกันเลย! เนื้อเรื่อง ใน Death by Degrees เราจะได้รับบทเป็น Nina Williams สายลับสาวจากหน่วยงานลับที่ถูกส่งไปแทรกซึมเข้าไปในเรือสำราญสุดหรูที่ชื่อว่า Amphitrite เพื่อสืบหาอาวุธชีวภาพที่ชื่อว่า "Salacia" เนื้อเรื่องไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย แต่ก็ถือว่าพอใช้ได้ในยุคนั้น มีการหักมุมนิดๆ หน่อยๆ พอให้เซอร์ไพรส์บ้าง แต่ที่ชอบคือการเล่าเรื่องผ่านคัตซีนที่ทำออกมาได้สวยงามในยุคนั้น CG อาจจะดูแข็งๆ ไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ขัดหูขัดตาอะไรมากนัก เสียดายที่เนื้อเรื่องไม่ได้เชื่อมโยงกับภาคหลักของ Tekken เท่าไหร่ ทำให้แฟนๆ ที่หวังจะเห็น Easter Egg หรือ Lore ต่างๆ อาจจะผิดหวังเล็กน้อย เกมเพลย์ มาถึงหัวใจหลักของเกมกันบ้าง ระบบการเล่นของ Death by Degrees เป็นแนว Action-Adventure ที่ผสมผสานการต่อสู้แบบประชิดตัวเข้ากับการลอบเร้นและไขปริศนาเล็กๆ น้อยๆ ในส่วนของการต่อสู้ ต้องบอกว่าทำออกมาได้ค่อนข้างแปลกใหม่ในยุคนั้น ด้วยระบบ "Critical Strike" ที่ให้เราเล็งโจมตีจุดตายของศัตรูแบบเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นการเตะผ่าหมาก จิ้มตา หรือกระทุ้งคอ ซึ่งแต่ละจุดจะมีท่าโจมตีและเอฟเฟกต์ที่แตกต่างกันออกไป ช่วงแรกๆ ที่เล่นก็รู้สึกสนุกดี ได้ลองกดท่าต่างๆ แต่พอเล่นไปนานๆ ก็เริ่มรู้สึกว่าระบบนี้มันค่อนข้างยุ่งยากและไม่ค่อยลื่นไหลเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาเจอศัตรูรุม หลายครั้งที่กะจังหวะกดท่าไม่ถูก ทำให้โดนรุมยำเละ แถมมุมกล้องในเกมก็ค่อนข้างมีปัญหา บ่อยครั้งที่หมุนมุมกล้องไม่ทัน จนมองไม่เห็นศัตรู ส่วนระบบลอบเร้นก็ทำออกมาได้กลางๆ ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีมาก มีช่วงที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ บ้าง แต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมาย ส่วนใหญ่ก็แค่เดินหลบหลังกำแพง หรือคลานผ่านช่องแอร์ ปริศนาในเกมก็ไม่ได้ยาก ส่วนใหญ่เป็นปริศนาง่ายๆ อย่างเช่น การหาของมาไขกุญแจ หรือการกดสวิตช์ตามลำดับ โดยรวมแล้ว เกมเพลย์ของ Death by Degrees ถือว่าสอบไม่ค่อยผ่านเท่าไหร่ ระบบการต่อสู้ที่ดูน่าสนใจในตอนแรก กลับกลายเป็นจุดอ่อนของเกม แถมมุมกล้องกับระบบลอบเร้นก็ยังทำออกมาได้ไม่ดีพอ กราฟิก ในยุค PlayStation 2 กราฟิกของ Death by Degrees ถือว่าอยู่ในระดับที่โอเค ตัวละคร ฉาก และเอฟเฟกต์ต่างๆ ทำออกมาได้สวยงามในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะโมเดลของ Nina ที่ดูสวยงามและเซ็กซี่ (แอบมีฉากเซอร์วิสแฟนๆ เล็กๆ น้อยๆ ด้วยนะ) แต่ก็อย่างว่า เกมนี้ก็มีอายุเกือบ 20 ปีแล้ว ถ้าเทียบกับเกมยุคนี้ กราฟิกก็คงดูโบราณไปหน่อย เสียง เสียงประกอบและเพลงประกอบในเกมทำออกมาได้ดี ช่วยเพิ่มอารมณ์ความตื่นเต้นให้กับเกมได้เป็นอย่างดี เสียงพากย์ของตัวละครก็ถือว่าโอเค แต่แอบขัดใจเสียงพากย์ภาษาอังกฤษของ Nina นิดหน่อย รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากับบุคลิกของเธอเท่าไหร่ สรุป Tekken's Nina Williams in: Death by Degrees เป็นเกมที่น่าผิดหวังสำหรับผม แม้จะมีไอเดียที่ดี แต่ระบบการเล่นที่ยุ่งยาก มุมกล้องที่แย่ และเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยน่าสนใจ ทำให้เกมนี้ไม่สนุกอย่างที่คิด ถ้าคุณเป็นแฟน Tekken และอยากรู้จัก Nina มากขึ้น ก็อาจจะลองเล่นดูได้ แต่ถ้าคุณหวังว่าจะได้เล่นเกมแอ็กชันสุดมันส์ ผมแนะนำให้มองหาเกมอื่นดีกว่า คะแนน 6/10 ข้อดี กราฟิกสวยงามในยุคนั้น เสียงประกอบและเพลงประกอบทำได้ดี ฉากแอ็กชันบางฉากทำออกมาได้น่าตื่นเต้น ข้อเสีย ระบบการต่อสู้ยุ่งยากและไม่ลื่นไหล มุมกล้องมีปัญหา เนื้อเรื่องไม่ค่อยน่าสนใจ ระบบลอบเร้นยังทำได้ไม่ดีพอ หมายเหตุ: นี่เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว ประสบการณ์ในการเล่นเกมของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไป เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
jjonline5581 • 23 พ.ย. 67
อ่าน
เรียนออนไลน์กับมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกยังไง ให้ได้ Certificate ฟรี!
เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้หลายๆหน่วยงานมีความจำเป็นต้อง Work from Home ซึ่งจะทำอย่างไรให้การทำงานที่บ้านของเราไม่สูญเปล่าทั้งยังสามารถใช้เวลาช่วงนี้พัฒนา Skill ตามความสนใจของตัวเอง หรือเพื่อพัฒนาทักษะทางอาชีพ นอกจากเรียนฟรีแล้ว ยังได้ Certificate ฟรีอีกด้วยคอร์สเรียนต่างๆ นั้นมีหลากหลายความต้องการจากสถาบันชั้นนำระดับโลก อย่างเช่น Yale University , University of Pennsylvania และอีกมากมายจากเว็บไซด์ https://www.coursera.org/ ซึ่งคอร์สนั้น มีหลากหลายให้เลือก เช่น คอร์สภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน (English for Career Development), คอร์สการเขียนโปรแกรมออนไลน์ เช่น Computer Science: Programming with a Purpose รวมไปถึงคอร์สทางด้านภาษาอย่างเช่น Chinese for Beginners จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศจีน อย่าง Peking University ซึ่งการเข้าเรียนคือ คอร์สที่เราเลือกนั้นจะบอกระยะเวลาในการเรียนออกเป็นสัปดาห์ (Week) ซึ่งเราจะต้องทำแบบทดสอบของแต่ละบทให้ทันก่อนหมดเวลาที่หลักสูตรกำหนดไว้ สำหรับบางท่านที่มีเวลาก็สามารถเรียนต่อเนื่องได้เลย จะทำให้จบคอร์สการเรียนได้ไวขึ้น โดยในแต่ละสัปดาห์การเรียนจะแบ่งออกเป็นการฟังบรรยายจากอาจารย์ประจำหลักสูตร, การอ่านบทความประกอบเนื้อหา และการทำแบบทดสอบ (Quiz) ซึ่งการทดสอบนั้นมีหลากหลายตั้งแต่การเลือกคำตอบที่ถูกต้อง, ข้อสอบแบบบรรยาย ซึ่งถ้าเป็นคอร์สทางด้านภาษาจะมีแบบทดสอบการฟังเพิ่มมาอีกด้วยภาพจากผู้เขียนโดยปรกติในคอร์สส่วนใหญ่นั้นเราสามารถเข้าเรียนได้ฟรีแบบไม่ได้รับ Certificate หรือหากต้องการ Certificate จะต้องเสียค่าใช้จ่ายราวๆ 49 USD แต่วันนี้เรามีเคล็ดลับการลงเรียนแบบไม่มีค่าใช้จ่ายพร้อมได้ Certificate ไปอวดเพื่อนกันนั้นก็คือเข้าไปที่เว็บไซด์ https://www.coursera.org/ แล้วค้นหาด้วยคำว่า “free certificate courses” เราจะพบกับคอร์สที่กำลังเปิดให้เรียนฟรีๆ พร้อม Certificate แต่คอร์สฟรีนี้มีเงื่อนไขที่ว่าต้องเรียนให้จบภายใน 7 วัน เราถึงจะได้ใบ Certificate หากเกิน 7 วันแล้วเราต้องการที่จะเรียนต่อก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมภาพที่ 2,3 จากผู้เขียนในช่วงเวลาที่เราไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 การเรียนออนไลน์นับเป็นทางเลือกนึงในการพัฒนาทักษะของเรา ทั้งในด้านอาชีพและภาษาอังกฤษ นอกจากเรียนฟรีและมหาวิทยาลัยชั้นนำแล้วยังได้ Certificate ฟรีๆไปอวดเพื่อนหรือหัวหน้าได้อีกด้วย และสามารถติดตามบทความเกี่ยวกับแหล่งเรียน Online ฟรีอื่น ๆ ได้ โดยคลิกที่ https://bit.ly/2LI0hpw
Melisandre • 19 พ.ค. 63
อ่าน
#Stayhome แบบมีคุณภาพ ชวนเรียนออนไลน์พร้อมได้ใบCertificatesฟรี!!!!
สวัสดีค่ะคุณนักอ่านทุกท่าน ช่วงนี้หลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเราเองกำลังอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID19 และภายใต้มาตรการการรับมือกับเจ้าไวรัสนี้นั่นก็คือ Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคมใช่มั้ยละคะ ทำให้หลายๆคนต้อง #stayhome กัน สำหรับบทความนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากผู้เขียนเองก็ต้องอยู่บ้านเช่นเดียวกันค่ะ และขณะกำลังเลื่อนฟีดข่าวใน Facebook ก็ได้มีเพื่อนๆแชร์ข้อมูลสำหรับเว็บไซต์เรียนออนไลน์พร้อมกับจะได้ใบประกาศเพื่อไว้รับรองว่าเราได้เคยเข้าร่วมการเรียนในคอร์สนี้แล้วมาอย่างฟรี ๆ อีกด้วย แน่นอนค่ะเมื่อกิจกรรมยามว่างที่ผู้เขียนทำเป็นประจำอย่างการดูซีรี่ส์หรือภาพยนตร์ไม่น่าสนใจอีกต่อไป นี่จึงถือเป็นโอกาสอันดีในการเพิ่มพูนความรู้ในช่วงวันหยุดที่แสนยาวนานแบบนี้ด้วยค่ะ “Coursera” พูดง่ายๆก็คือเว็บไซต์สำหรับการเรียนออนไลน์ที่เต็มไปด้วยเนื้อหาวิชาหลากหลายด้าน เช่น Language Learning, Data Science, Business, Personal Development, Arts and Humanities เป็นต้น จากมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลกรวมไว้ที่นี่เพื่อให้เราได้เรียนรู้เนื้อหาผ่านทางออนไลน์ได้ตลอดไม่ว่าจะวันใดหรือเวลาใด ซึ่งโดยปกติจะมีคอร์สเรียนที่เปิดให้เราได้เรียนกันแบบฟรี ๆ แต่หากใครอยากได้ใบ Certificates มาเก็บไว้สำหรับต้องการนำไปประกอบผลงานหรือใส่ใน Portfolio ก็อาจจะต้องจ่ายเงินในราคา 49$ หรือในราคาอื่นแล้วแต่วิชาค่ะแต่!!!! ในช่วงนี้ค่ะ Coursera ใจดีเปิดบางคอร์สให้เราได้เรียนฟรีพร้อมทั้งยังได้ใบ certificatesแบบฟรีๆอีกด้วย (ขอย้ำว่าเป็นบางคอร์สนะคะ สำหรับใครที่อยากรู้ว่ามีคอร์สไหนบ้างสามารถคลิกไปดูได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ https://www.classcentral.com/report/coursera-free-certificate-covid-19/ ) ช่วงเวลาดังกล่าวนี้มีระยะจำกัดนะคะ โปรโมชั่นนี้สิ้นสุดถึงแค่วันที่ 31 พฤษภาคม 2020 เท่านั้น อย่ามัวรอช้าค่ะรีบไปหาดูคอร์สที่น่าสนใจสำหรับเรากันเร็ว!สำหรับวิธีการสมัครเรียนเมื่อเพื่อน ๆ เลือกคอร์สที่จะเรียนได้แล้ว (โดยเลือกจากหน้าเว็บลิงค์ที่ให้ไว้ข้างบนนะคะ) ให้เพื่อนคลิกที่ลิงค์วิชานั้นๆค่ะ เมื่อเข้ามาแล้วให้เพื่อน ๆ คลิกที่ปุ่ม Go to Class จากนั้นจะพบกับหน้าเว็บนี้เพื่อให้เราคลิกสมัครค่ะ ให้เพื่อนๆคลิกที่ปุ่ม Enroll For Free แล้วจะมีป๊อปอัพเด้งขึ้นมาสำหรับคนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ก็ให้เพื่อน ๆ ลงทะเบียนให้เรียบร้อยจากนั้นก็ทำการ Log in เพื่อเข้าสู่ระบบ ขั้นต่อตอนมาจะมีป๊อปอัพเด้งขึ้นมาถามเราว่าต้องการใบCertificatesด้วยหรือไม่ ให้เพื่อนๆเลือกอันแรกนะคะ ตรง Purchase Course (หากไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาโปรโมชั่นที่ได้กล่าวถึงในตอนแรกให้เลือกแบบ Audit Onlyนะคะ ตรงนี้คือจะเรียนฟรีอย่างเดียวไม่ได้ใบ Certificates ค่ะ) จากนั้นก็คลิกที่ปุ่ม Continue จากนั้นจะเข้าสู่หน้าที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายค่ะ จะเห็นว่าเราจะได้รับส่วนลด 100% กันเลยทีเดียวก็คือไม่ต้องเสียเงินเลยซักบาท (แต่สำหรับใครที่นำไปสมัครในวิชาอื่นแล้วขึ้นหน้าเว็บให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือบัญชีธนาคารไว้สำหรับตัดเงินผ่านบัตรอันนี้คือไม่ฟรีแล้วนะจ๊ะ) เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็กด Pay Now เลยค่ะ ต่อจากนี้ก็จะเข้าสู่หน้าหลักของรายวิชานั้น ๆค่ะ โดยอาจารย์ผู้สอนจะมาทักทายแล้วก็แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเรียนการสอนไว้หมดเลย เมื่อเพื่อน ๆ พร้อมเรียนแล้วก็กดที่ปุ่ม Start เพื่อเข้าสู่บทเรียนได้เลย ส่วนตัวผู้เขียนนั้นได้ลองเรียนในรายวิชา First Step Korean จากYonsei University แล้วต้องขอบอกเลยว่าอาจารย์สอนเข้าใจและใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้เป็นอย่างดีค่ะ โดยเมื่อแล้วเรียนจบในแต่ละบทจะมีการทดสอบเล็ก ๆ ท้ายบทด้วย ถือว่าไม่ยากจนเกินไปข้อสอบออกตามที่อาจารย์สอนเลย นอกจากนี้ผู้เขียนขอแนะนำคอร์สที่น่าสนใจอื่น ๆด้วยค่ะ อย่างเช่น Chinese For Beginners, Tricky American English Pronunciation, The Truth About Cats and Dogs เป็นต้น สำหรับใครที่ได้ไปลองเรียนแล้วอย่าลืมมาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ และสามารถติดตามบทความเกี่ยวกับแหล่งเรียน Online ฟรีอื่น ๆ ได้ โดยคลิกที่ https://bit.ly/2LI0hpwอ้างอิงภาพ ภาพปกจาก Facebook : Coursera / ภาพ 1 จาก Facebook : Coursera / ภาพ 2 : Coursera / ภาพ 3 : Coursera / ภาพ 4 : Coursera / ภาพ 5 : Coursera / ภาพ 6 : Coursera
Bimthaa • 19 พ.ค. 63
อ่าน
25 Degrees Bangkok สุดยอดความอร่อยที่คนรักเบอร์เกอร์ต้องลอง
สวัสดีเบอร์เกอร์เลิฟเวอร์ทุกคนค่า วันนี้เราจะพาทุกคนไปกินเบอร์เกอร์ที่อร่อยที่สุดในกรุงเทพ ฯ เลยก็ว่าได้ร้านนี้มีชื่อว่า 25 DEGREES Bangkok พิกัดไม่ใกล้ไม่ไกลตั้งอยู่ที่ชั้น 1 ของโรงแรม Pullman Hotel G ย่านสีลม ร้านอยู่ด้านหน้าเลยจ้าสังเกตง่ายมาก ร้านตกแต่งสไตล์อเมริกัน กลิ่นอายชิคาโก้เบา ๆ เหมือนกินเบอร์เกอร์ที่เมืองนอกกันเลยทีเดียว แถมช่วงนี้มีโปรโมชันเพียบ นอกจากที่นี่จะมีเมนูเบอร์เกอร์แล้ว ก็ยังมีเมนูอื่น ๆ อีกเพียบ ทั้งซี่โครงหมูบาร์บีคิว มันฝรั่งทอดหลากหลายสไตล์ ปลาหมึกทอดท่านเล่นแบบฟิน ๆ ไก่ทอดบาร์บีคิว และไฮไลท์เด็ดของที่นี่ต้องยกให้ Milk Shake (160-.) เลยจ้ามีให้เลือกกัน 4 รสชาติVanilla bean ,Double Chocolate, Strawberry และ Chocolate & Banana บอกเลยว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่งตอนนี้มีโปร 1 แถม 1 ทุกวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 11.00 - 15.00 น.ด้วยนะคะทุกคน เมนูเบอร์เกอร์จะมีให้เลือกทั้งหมด 8 เมนูกันเลยเริ่มต้นที่ 330 บาท และถ้าอยากจะเพิ่มอะไรในเบอร์เกอร์ของเราก็มีให้เลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ วันนี้เราเลือกเป็นเบอร์เกอร์ Number One เเละเลือกเปลี่ยนขนมปังเป็นแบบ Gluten-free ในเบอร์เกอร์ก็จะมี Caramalized onion , Crescenza , Prelibato Gorgonzola , Bacon ,Augula , Thousand Island เลือกเพิ่ม Avocado ดูจากวัตถุดิบต่าง ๆ อัดแน่นขนาดนี้ต้องลองให้ได้เลยนะคะ นอกจากเมนูแนะนำทั้งเบอร์เกอร์และ Milk Shake แล้วนะคะ ยังมีเมนูของทานเล่น หรือใครจะทานแบบจริงจังก็ย่อมได้ เราสั่งมาทานเล่น ๆ กัน 2 เมนูเลยค่ะ 5555 เมนูแรกคือ Potato wedges ( 180-. บาท)กับ Topping แบบต่าง ๆ มีให้เลือก 3 Topping คือ Spicy Thai Herb , Mexican Salsa และ Cheesy Chili สำหรับจานที่เราสั่งจะเป็น Topping ด้วย Mexican Salsa นะคะ เป็นTopping ที่ให้ความสดชื่นจากมะเขือเทศ กับอโวคาโด เมนูที่สอง ก็คือเมนู Beer Battered Chicken Wings (6 ชิ้น 180-.บาท) หรือปีกไก่บาร์บีคิวนั่นเองค่า ปีกไก่ทอดกรอบ ๆ ฉ่ำซอสบาร์บีคิวแบบโฮมเมด อร่อยเด็ดมาก ๆ คิดแล้วก็หิวอย่างกินอีกแล้ว ใครที่เป็นสาวกของเบอร์เกอร์แบบต้นตำรับด้วยรางวัลการันตีมากมายเราบอกเลยว่าต้องมา ของเด็ดของอร่อย บรรยากาศดี โปรโมชันเพียบ แถมมีอาหารอื่น ๆ ให้เลือกทานอีกด้วยนอกจากเบอร์เกอร์ ใครที่แวะเวียนผ่านมาแถวสีลม ถือได้ว่าร้านนี้ควรมาเช็คอินความอิ่มอร่อย แล้วจะติดใจแบบ Appro around the world แน่นอนเลยน้า 📍25 Degrees Bangkok FB : 25 Degrees Bangkok. สั่งเดลิเวอรี 🛵 GRAB 🛵 LINEMAN 🛵 FOODPANDA 🛵 ROBINHOOD ⏰ เวลาเปิด - ปิดทุกวันเวลา7am - 9 pm (ปกติเปิด 24 ชม.) 📱 023524192 | @25degreesbkk (LINE@) 📨 25degreesmanager@randblab.com 🌎 www.randblab.com/25degrees-bkk เรื่องและภาพโดย : Appro around the world #25degreesburger #25degreesBangko #pullmanhotelg #ร้านเบอร์เกอร์อร่อยในกรุงเทพ #ร้านอาหารน่านั่งในกรุงเทพ #เที่ยวกรุงเทพช่วงโควิด #ไก่ทอดบาร์บีคิว
Appro around the world • 28 ม.ค. 64
อ่าน
aot grappling hook mechanic 2 เกมเหวี่ยงตะขอสุดมันส์บน itch
คือเมื่อวันก่อนผู้เขียนไปเจอเกมต้นแบบบน itch.io ที่ชื่อว่า aot grappling hook mechanic 2 ของ Luiz Miguel 3D ซึ่งเป็นเกมที่ทำขึ้นด้วย Unity และเล่นได้เลยบนเว็บ ไม่ต้องโหลดหรือติดตั้งอะไรให้ยุ่งยาก ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแค่โปรเจกต์เล็ก ๆ แต่พอเข้าไปลองเล่นจริง ๆ กลายเป็นว่ามันสนุกกว่าที่คิดเยอะเลย ระบบควบคุมที่ให้ฟีลเหมือนในอนิเมะ เกมนี้เน้นไปที่ระบบการเคลื่อนไหวด้วย grappling hook หรือที่แฟน Attack on Titan รู้จักกันดีว่าเป็น “อุปกรณ์เคลื่อนที่สามมิติ” Q/E ยิงตะขอซ้ายและขวา Space กระโดด WASD/ลูกศร เคลื่อนที่ Shift ใช้แก๊สพุ่งตัว Tab + Mouse ปรับระยะเล็งสองระดับ ตอนที่ลองกด Q/E ยิงตะขอแล้วเหวี่ยงตัวไปมา ห้ความรู้สึกเหมือนกำลังสวิงอยู่กลางเมืองจริง ๆ ยิ่งพอใช้แก๊สเร่งความเร็วด้วย Shift แล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้า ความรู้สึกโคตรใกล้เคียงกับฉากในอนิเมะเลย ความรู้สึกตอนเหวี่ยงตัวกลางอากาศ สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนติดใจคือความ ลื่นไหล ของการเคลื่อนไหว ถึงแม้เกมยังเป็น Prototype แต่ฟิสิกส์ทำให้การเหวี่ยงตัวดูสมจริงมาก ๆ ตอนที่ยิงตะขอซ้าย-ขวาสลับกันเร็ว ๆ รู้สึกเหมือนกำลัง “สวิง” ไปตามเส้นทางที่ตัวเองสร้างขึ้น การกระโดดแล้วกดแก๊สต่อทันที โมเมนตัมพุ่งแรงมาก ราวกับกำลังโฉบลงไปหายักษ์ การเล็งสองระยะช่วยให้ควบคุมได้แม่นขึ้น ไม่ว่าจะอยากเหวี่ยงตัวสูง ๆ หรือพุ่งไปใกล้ ๆ พูดง่าย ๆ คือแค่การเคลื่อนไหวมันก็สนุกจนเพลินไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องมีระบบต่อสู้ด้วยซ้ำ จุดที่ยังไม่สมบูรณ์ แน่นอนว่าเกมยังเป็น Prototype เพราะฉะนั้นหลายอย่างยังไม่ครบ เช่น ไม่มีระบบต่อสู้ ตอนนี้ยังแค่เหวี่ยงตัวไปมา ไม่มีการโจมตีหรือสู้กับไททัน กราฟิกเรียบง่าย เมืองยังดูโล่ง ๆ ไม่มีรายละเอียดมากนัก การควบคุมบางครั้งแข็ง ๆ ต้องใช้เวลาปรับตัวกว่าจะเล่นได้คล่อง แต่ถึงอย่างนั้น ผู้เขียนกลับรู้สึกว่าเป็น “สนามเด็กเล่น” ที่ดีมากสำหรับลองท่าต่าง ๆ เหมือนเป็นพื้นที่ให้เราซ้อมการเคลื่อนไหวแบบในอนิเมะ โมเมนต์ฮา ๆ ตอนเล่น มีอยู่ครั้งหนึ่งผู้เขียนลองยิงตะขอไปที่ตึก แต่ดันเล็งพลาดไปโดนพื้นแทน ผลคือร่างพุ่งไปข้างหน้าแล้วกระแทกพื้นแบบไม่เท่เลย เพื่อนที่นั่งดูอยู่ขำกันใหญ่ บอกว่า “นี่มันนักรบกองกำลังสำรวจเวอร์ชั่นฝึกหัดชัด ๆ” อีกทีหนึ่งผู้เขียนลองกดแก๊สพุ่งแรง ๆ แล้วเหวี่ยงตัวสูงเกินไป สุดท้ายหลุดออกนอกแผนที่ไปเลย กลายเป็นว่าต้องรีเฟรชเกมใหม่ ฮาไปอีกแบบ จุดแข็งที่ทำให้เกมนี้น่าสนใจ ระบบ grappling hook ที่เล่นแล้วติดใจ ฟิสิกส์การเคลื่อนไหวที่ทำให้รู้สึกมีอิสระ เล่นผ่านเว็บได้ง่าย ไม่ต้องติดตั้ง สิ่งที่ควรพัฒนา เพิ่มระบบต่อสู้กับไททันหรือศัตรู ทำแผนที่ให้ใหญ่ขึ้นและมีรายละเอียดมากขึ้น ปรับการควบคุมให้ลื่นไหลกว่านี้ สรุปความรู้สึก สำหรับผู้เขียน เกมนี้ถึงจะยังเป็น Prototype แต่ก็ทำให้เห็นศักยภาพของระบบการเคลื่อนไหวที่สามารถต่อยอดไปสู่เกมเต็มรูปแบบได้ ถ้าในอนาคตผู้พัฒนาสามารถเพิ่มระบบต่อสู้ แผนที่ที่หลากหลาย และกราฟิกที่สวยขึ้น จะกลายเป็นเกมที่แฟน Attack on Titan ต้องลองแน่นอน ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
KrabiInsight • 5 ธ.ค. 68
อ่าน
ทำข้อสอบออนไลน์ ง่ายๆ ได้เกียรติบัตรฟรี โครงการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษตามกรอบ CEFR Certificate testing Bangkok Primary Educational Service Area Office Certificate of Completion
ทำข้อสอบออนไลน์ ง่ายๆ ได้เกียรติบัตรฟรี โครงการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษตามกรอบ CEFR Certificate testing Bangkok Primary Educational Service Area Office Certificate of Completionทำข้อสอบออนไลน์ ง่ายๆ ได้เกียรติบัตรฟรี โครงการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษตามกรอบ CEFR Certificate testing Bangkok Primary Educational Service Area Office Certificate of Completionในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเรียนการสอน การใช้ชีวิตประจำวัน หรือในทางธุรกิจ จะต้องมีการสื่อสารที่หลากหลายภาษา แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการติดต่อสื่อสารเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ มีความจำเป็นมากในการใช้ชีวิตประจำวัน วันนี้ผู้เขียนมีช่องทางในการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการใช้ภาษาที่อยากจะนำเสนอเพื่อนๆ ที่สนใจด้วยการมาทำข้อสอบออนไลน์ แล้วจะได้รับเกียรติบัตรฟรีทาง e-mail เช่นเรื่องต่อไปนี้ค่ะคำชี้แจง ข้อสอบชุดนี้มีจำนวน 30 ข้อ 4 ตัวเลือก ผู้ที่สนใจต้องทำข้อสอบให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ( 21 ข้อ )หลังจากทำข้อสอบเสร็จภายใน 3 นาที ระบบจะแจ้งคะแนนให้ท่านทราบทันที ท่านจะได้รับเกียรติบัตรทาง E-mail แต่ก่อนเข้าทำข้อสอบต้องกรอกข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วน และที่สำคัญต้องกรอก e-mail ให้ถูกต้องทุกครั้งก่อนเริ่มทำข้อสอบลิงก์โครงการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษตามกรอบ CEFR Certificate testingลิงก์สำรองโครงการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษตามกรอบ CEFR Certificate testingหลังจากทีเราได้ทำข้อสอบเสร็จแล้ว หากท่านผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ( 21 ข้อ ) ท่านจะได้รับเกียรติบัตรทันทีทาง E-mail ระบบจะแจ้งคะแนนให้ท่านทราบทันที สำหรับคนที่ทำข้อสอบไม่ผ่านเกณฑ์สามารถทำข้อสอบชุดนี้ได้มากกว่า 1 ครั้ง และเมื่อเราทำข้อสอบผ่าน เราจะได้รับเกียรติบัตรทาง E-mail ดังตัวอย่างภาพด้านล่างเลยค่ะหลังจากที่ผู้เขียนได้ทำข้อสอบชุดนี้ ผู้เขียนได้รับความรู้มากมายเกี่ยวกับเรื่อง โครงการพัฒนาครูผู้สอนภาษาอังกฤษตามกรอบ CEFR Certificate testing เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหลักการใช้ Grammar การสนทนาภาษาอังกฤษ และผู้เขียนยังได้ฝึกการจดจำคำศัพท์ไปในตัว ซึ่งความรู้เหล่านี้ผู้เขียนได้นำไปใช้ในการเรียนการสอนในชั้นเรียน ได้นำเทคนิคต่างๆ ไปปรับใช้กับกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น สำหรับตัวผู้เขียนแล้วในเรื่องนี้มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ ลองมาฝึกกันดูนะคะประสบการณ์โดยตรงของผู้เขียน ได้การได้นำความรู้เทคนิคต่างๆ ไปใช้สอนนักเรียนในชั้นเรียน เรื่อง การใช้ Grammar ให้ถูกหลัก การพานักเรียนทำกิจกรรมเกี่ยวกับการสนทนาภาษาอังกฤษ และมีเกมส์ให้นักเรียนจับกลุ่มเล่นด้วยกันค่ะเมื่อทำข้อสอบเสร็จแล้วผ่านเกณฑ์สามารถเข้าไปตรวจสอบเกียรติบัตรได้ที่ e-mail ของท่านที่ลงทะเบียนไว้ อีกในกรณีหนึ่งถ้าหากท่านยังไม่พบเกียรติบัตรใน e-mail ให้ท่านเข้าไปหาได้ที่จดหมายขยะผู้เขียนขอขอบคุณ Bangkok Primary Educational Service Area Office Certificate of Completion เจ้าของข้อสอบและผู้ออกเกียรติบัตรขอขอบคุณรูปภาพทั้งหมดภาพปก โดย Canva ภาพที่ 1-2 โดย ผู้เขียนภาพที่ 3 โดย Canva ภาพที่ 4 โดย Canvaอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
093490XXXX • 8 ต.ค. 65
อ่าน
แหวนแต่งงาน แหวนเพชร ที่ Jewel Impress เชียงใหม่ มี Certificate ระดับสากล GIA, HRD, IGI, AGS
การมองหาคนรักที่ดีนับว่าเป็นเรื่องที่ยากแล้ว แต่การมองหาร้านเพชรที่ดีและน่าเชื่อถือนั้นยากยิ่งกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ กว่าคนสองคนจะมาเจอกัน พบรักกัน และจนถึงวันที่ตกลงปลงใจแต่งงานกัน เชื่อว่าเค้าทั้งสองจะต้องผ่านอุปสรรคความรักมามากมาย คงไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่ราบรื่นไปซะทุกอย่าง และเราเชื่อว่า การตัดสินใจนี้เกิดจากความรักที่คนทั้งสองมีให้ต่อกัน วัฒนธรรมของเมืองไทยนั้น เมื่อมีการตกลงว่าจะแต่งงานกัน ก่อนงานแต่งตามธรรมเนียมต้องมีการหมั้นหมายกันไว้ก่อน และแหวนก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับพิธีนี้ ในส่วนของวันแต่งงาน บางคู่ก็จะมีแหวนสำหรับงานแต่งงานเพิ่มมาอีก แต่ในส่วนของทางศาสนาคริส เค้านิยมให้แหวนหมั้นในวันที่ฝ่ายชายคุกเข่าขอแต่งงานกับฝ่ายหญิง และเป็นการให้แหวนเพื่อแทนสัญลักษณ์ว่า เราทั้งสองจะมีพิธีแต่งงานกันในไม่ช้านี้ เพราะทันทีที่สวมแหวน หมายความว่าเธอคนนั้นตกลงที่จะร่วมใช้ที่ชีวตที่เหลือกับฉันคนนี้แล้วนั่นเอง " เพชร " เป็นอัญมณีที่คนทั่วโลกนิยมนำมาประดับไว้บนแหวนเพื่อแทนความรักให้กับคนที่เรารักในวันสำคัญ ซึ่งเป็นที่รู้ ๆ กันดีว่า เพชรนั้นเป็นอัญมณีที่มีค่ามาก เพราะเพชรมีความแข็งแกร่งจนสามารถนำมาตัดกระจกและวัสดุแข็งอื่น ๆ ได้ เพชรจึงเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง มุ่งมั่น และเมื่อวางไว้บนแหวนก็จะสื่อถึงความรักที่มั่นคง รักนิรันดร์ ยากที่ใครจะทำลายได้ การออกแบบแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ ที่นิยมกันอย่างเช่น แหวนชู คือแหวนที่มีเพชรเม็ดเดียว เด่น ๆ ให้เห็นตัวเพชรได้อย่างชัดเจน แหวนทรงนี้จะมักจะสื่อความหมายถึงความรักเดียวใจเดียว จะซื่อสัตย์ และมั่นคงต่อเธอผู้เดียว อีกแบบก็คือการออกแบบโดยฝังเพชรเล็ก ๆ ไว้รอบวงก็จะสื่อความหมายถึงความรักที่ไม่มีวันสิ้นสุดไม่มีวันเสื่อมคลาย จะรักเธอไปตราบฟ้าชั่วดินมลาย หรือแหวนเพชร 3 เม็ด ต้องการสื่อถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทำนองว่าความรักของเรานั้นเหนือกาลเวลา รักข้ามภพข้ามชาติ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ๆ ก็จะรักเพียงแต่คุณนั่นเอง เข้าใจว่าการจะเลือกซื้อแหวนเพชรสักวงไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งการเลือกหาแหวนแต่งงานที่เราจะมอบให้กับคนที่เรารัก คนที่เราตั้งใจจะอยู่ด้วยกันไปตราบจนวันตายนั้น ยิ่งต้องใช้ความพิถีพิถันในการเลือก เพราะองค์ประกอบในการตัดสินใจหลัก ๆ ก็คือความมั่นใจว่าเพชรที่เราเลือกนั้นจะเป็นเพชรแท้ ซึ่งตัวช่วยในการสร้างความมั่นใจนั่นก็คือใบเซอร์ หรือว่าใบการันตีเพชรนั่นเอง หากผู้ที่พอจะมีความรู้เรื่องเพชรอยู่บ้างคงจะรู้จักสถาบัน GIA และ สถาบัน GIT ซึ่ง GIA ย่อมาจาก Gemological Institute of America เป็นสถาบันอัญมณีหลักของประเทศสหรัฐอเมริกา และยังมีสำนักงานกระจายอยู่ทั่วไปตามแหล่งประเทศที่มีการผลิตอัญมณีหลัก ๆ ของโลกรวมถึงประเทศไทยโดยสำนักงานตั้งอยู่ที่ตึกอื้อจือเหลียง ถนนพระรามสี่ กรุงเทพมหานคร GIA ยังเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในตลาดเครื่องประดับอัญมณี และส่วน GIT (Gemological Institute of Thailand) คือ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติเช่นเดียวกัน เป็นสถาบันของประเทศไทยคะ ตั้งอยู่ที่อาคารไอทีเอฟทาวเวอร์ ถนนสีลม หากคุณกำลังมองหาแหวนแต่งงาน แหวนหมั้น หรือแหวนเพชรเพื่อมอบให้เป็นของขวัญเนื่องในวันสำคัญต่าง ๆ กับคนที่คุณรัก เราขอแนะนำร้าน Jewel Impress เชียงใหม่ ร้านนี้เค้าได้รับรางวัลการันตีอย่างมากมาย และที่สำคัญคือเพชรที่ร้านนี้ มีใบการันตี Certificate ระดับสากล GIA, HRD, IGI, AGS และ GIT อีกด้วย คุณสามารถซื้อด้วยความมั่นใจ Buy with confidence จากกระทรวงพาณิชย์ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ ร้าน Jewel Impress ได้รับตราสัญลักษณ์อันทรงเกียรตินี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับทุกท่าน ว่าสินค้าทุกชิ้นเป็นสินค้าที่เชื่อถือได้ มีคุณภาพตามที่ระบุในใบรับรองคุณภาพสินค้าและอัญมณีและเครื่องประดับอย่างแน่นอน และเพราะมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัย จึงมีกลุ่มนักเรียน นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ขอเข้ามาศึกษาดูงานการผลิตเครื่องประดับและอัญมณีอยู่บ่อยครั้ง ข้อมูลจาก Facebook ของทางร้าน (จะแปะลิ้งค์ไว้ให้ที่ในส่วนท้ายของบทความนะคะ) นอกจากนั้น หากคุณอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมออกแบบแหวนของตัวเองให้มีความเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร ทางร้านก็ยินดีที่จะให้คุณได้มีส่วนร่วมนี้ เริ่มตั้งแต่การออกแบบด้วยโปรแกรมพิเศษ ไปขั้นตอนขึ้นรูป จนจบกระบวนการเป็นแหวนและสามารถเลเซอร์ตัวอักษรตามที่คุณต้องการ ก่อนที่จะส่งมอบแหวนเพชรเม็ดงามในแบบที่คุณได้เป็นคนออกแบบเอง ทั้งหมดนี้คุณสามารถจำกัดได้ว่าแหวนที่คุณต้องการนั้นจะอยู่ในวงเงินเท่าไหร่ตามที่คุณนั้นพึงพอใจ (่ ช่างดีต่อใจจริง ๆ คะ ) หากสนใจสามารถโทรไปพูดคุย สอบถามรายละเอียดได้เลยคะ พนักงานที่นี่ใจดีทุกคน สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 081-5313631 คุณจุ๊บ Line@ : @jewelimpress https://www.facebook.com/Jewelimpress/ ขอขอบคุณรูปภาพจากร้าน Jewel Impress ด้วยนะคะ
Just in case • 10 มี.ค. 63
อ่าน
สร้าง e-Certificate Online และส่ง Mail ถึงผู้รับง่ายๆ ด้วย AutoCrat
วันนี้มีโจทย์จากน้องๆ ที่ทำงานมาให้ช่วยอีกแล้ว "พี่ครับๆ ผมมีใบ Certificate อยู่ 150 ใบ อยากจะส่ง Mail ให้ผู้เข้าร่วมทุกคน แต่ถ้าทำทีละคนคงช้าใช้เวลาตั้งแต่เช้ายันเย็นแน่นอน มีวิธีการที่ง่ายกว่านั้นไหม" คำตอบของพี่คือ พี่เคยทำคะ ต้องมาทบทวนความรู้ตั้งแต่ปี 2015 กันนิดส์นึง มาใช้งาน Google Application กันเถอะ ทำ e-Certificate ก็ส่งออกโดยที่เราไม่ต้องมานั่งทำทีละไฟล์และส่งมีละคน กันดีกว่า ดังนั้นสิ่งที่จะต้องมี 3 อย่าง สำหรับการส่ง e-Certificate นี้ก็คือ 1. Google Sheet ที่ใช้เป็นฐานข้อมูลของชื่อ และ E-mail ที่ต้องการจะส่งออก 2. Google Doc ที่ใช้เป็นใบรูปแบบของใบ Certificate ตามที่เราต้องการ อาจจะประยุกต์ใช้ Google Slide ก็ได้ แต่ตอนนี้เราขอใช้ Google Doc 3. Autocrat เป็นส่วนขยาย หรือ Extenstions ที่ใช้คู่กับ Google Sheet ใช้สำหรับการ Merge ข้อมูล Google Doc และ Google Sheet เข้าด้วยกัน พร้อมทั้งทำการส่ง Mail ให้เมื่อมีการ Run คำสั่ง------ก่อนทำการสร้าง e-Certificate ต้องเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้ 1. Google Sheet ก็จะขอแสดงข้อมูลให้เห็นชัดที่สุด เราเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้ชื่อ เพื่อใส่ใน e-Certificate โดยตั้งชื่อคอลัมน์ว่า Name E-mail เพื่อใช้ในการจัดส่ง e-Certificate โดยตั้งชื่อคอลัมน์ว่า email ชื่อคอลัมน์นั้นสำคัญ เพราะจะต้องเอาไปใช้ใน Google Doc อีกครั้ง 2. Google Doc จัดเตรียมใบ Certificate ที่จัดทำแล้วเป็นภาพสวยงาม จัดลงหน้ากระดาษ นำภาพไปไว้ด้านหลังข้อความ และนำชื่อคอลัมน์ มาใส่เครื่องหมาย ชื่อคอลัมน์ เช่น ซึ่งเป็นการนำข้อมูลจาก Google Sheet มา Merge ข้อมูลจัดทำ e-Certificate 3. Autocrat เป็นส่วนขยาย หรือ Extenstions ที่ใช้คู่กับ Google Sheet ซึ่งต้องทำการติดตั้งก่อนใช้งาน และไปเปิด ------เมื่อเตรียมข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้เพื่อสร้าง e-Certificate และส่ง Mail 1. เปิดข้อมูล Google Sheet และเลือกเมนู Extenstions Autocrat Launch2. จะปรากฎหน้าต่าง Autocrat เลือก NEW JOB สามารถทำไปทีละขั้นตอนตามตัวช่วยที่ App มีให้ได้เลย 3. ขั้นตอนที่ 1 ตั้งชื่องานที่ Job name ตามที่เราต้องการเพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน และกดปุ่ม Next เพื่อไปยังขั้นตอนถัดไป4. ขั้นตอนที่ 2 เลือก Template คลิกที่ปุ่ม From drive เพื่อเลือก Google Doc ที่เราออกแบบใบ Certificate ไว้ เลือก Certificate แล้วกดปุ่ม Select6. เมื่อกลับเข้าสู่หน้าจอหลักจะปรากฎ ชื่อของ Template ที่เราเลือกมาทำเป็น Certificate และให้กดปุ่ม Next เพื่อทำการไปขั้นตอนถัดไป 7. ขั้นตอนที่ 3 ทำการเลือกชื่อคอลัมน์ที่ต้องการแสดงผลใน Google Doc ให้ตรงกับ Google Sheet ที่เราตั้งไว้ เพื่อทำการ Merge ข้อมูลจัดทำเป็น e-Certificate โดยการเลือก ชื่อ Sheet ในช่อง Merge tab และเลือกชื่อคอลัมน์ในช่อง Map to Column8. ขั้นตอนที่ 4 ตั้งชื่อ File ของไฟล์ เช่น CER $name ที่เราจะทำการสร้างออกมา จะได้ชื่อไฟล์ในขั้นสุดท้าย (ข้อมูลเหล่านี้จะปรากฏใน Mail ที่ส่งไป) และเลือกชนิดของเอกสารที่ Type ส่วนใหญ่ในการส่ง Mail เรามักเลือกเป็น PDF และกดปุ่ม Next 9. ขั้นตอนที่ 5 เลือก Folder ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เมื่อทำในขั้นตอนสุดท้าย ข้อมูล e-Certificate จะถูกนำมาเก็บไว้ใน Folder ที่เลือก และทำการกดปุ่ม Next10. ขั้นตอนที่ 6 เป็นการถามถึง Folder ที่เกี่ยวข้อง แต่เราไม่ได้ใช้งาน สามารถกดปุ่ม Next ไปยังขั้นตอนถัดไปได้เลย 11. ขั้นตอนที่ 7 เป็นการตั้งเงื่อนไขต่างๆ เพิ่มเติมก่อนดึงข้อมูลมาแสดงผล เราไม่ได้ใช้งานเช่นกัน สามารถกดปุ่ม Next ไปยังขั้นตอนถัดไป12. ขั้นตอนที่ 8 เป็นขั้นตอนในการตั้งค่า ก่อนการส่ง Mail ออกไปยังผู้รับ ในหัวข้อ Share Doc? ตอบ Yes และเลื่อนลงไปด้านล่างที่ช่อง To ใส่ค่า Mail ผู้รับ $email (ชื่อตามชื่อคอลัมน์ที่เราตั้งไว้) Type in Subject คือการใส่หัวข้อของจดหมาย Type the message คือการใส่เนื้อความของจดหหมายที่ต้องการจะส่งไปยังผู้รับ13. ขั้นตอนที่ 9 ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการกำหนดการทำงาน การสร้างไฟล์ การส่ง Mail นั่นเองRun on form trigger เพื่อกำหนดการทำงานด้วยตนเอง ตอบ Yes จะปรากฎหน้าต่างเตือนขึ้นมาเล็กน้อย ตอบ Yes อีกครั้งRun on time trigger เพื่อกำหนดการทำงานโดยการตั้งเวลา ตอบ No เราจะได้คำสั่งในการสร้างไฟล์ และการส่ง Mail ตั้งค่าเสร็จก็ให้กดปุ่ม Save 14. เมื่อต้องการสร้างไฟล์ และส่ง Mail กดปุ่ม Runเพียงเท่านี้ โปรแกรมก็จะสร้างไฟล์ และ ส่ง Mail ให้ทันทีรับรองเลยว่าถ้ามีข้อมูลครบ ทำตามขั้นตอนที่แนะนำทั้งหมดก็จะสามารถสร้าง e-Certificate พร้อมส่ง Mail ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งหากมี Mail ที่จำเป็นต้องส่งจำนวนมาก และข้อมูลเป็นชื่อที่ไม่ซ้ำกันจะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานได้เป็นอย่างยิ่ง ----------ภาพประกอบบทความทั้งหมดมาจากภาพที่ผู้เขียนจับภาพหน้าจอนำมาตัดต่อใส่ข้อความด้วยตนเอง7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์
เที่ยวไม่ทิพย์ • 13 ก.ค. 66
อ่าน
25 Degrees Burger เบอร์เกอร์สไตล์อเมริกันย่านบางรัก Enjoy ได้ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์
เบอร์เกอร์ อาหารสไตล์อเมริกันที่ดูเรียบง่าย ทานได้อย่างรวดเร็ว และอิ่มได้ในชิ้นเดียว ใครหลายๆ คนนิยามมันว่าเป็นอาหาร Junk Food ก็ตาม แต่ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองซะใหม่ และยกระดับเบอร์เกอร์ให้มีระดับในร้านอาหารโรงแรมหรูใจกลางเมือง หนึ่งในร้านนั้น จะต้องมีร้านที่ชื่อว่า “25 Degrees Burger” ร้านอาหารสไตล์อเมริกันกับคอนเซป Enjoy Burger 24/7 เวลาไหนก็เอ็นจอยกับเบอร์เกอร์แสนอร่อยได้บรรยากาศหน้าร้านร้าน 25 Degrees Burger อยู่ที่ชั้น 1 ของโรงแรม Pullman G สีลม การเดินทางสามารถมาด้วยรถโดยสารสาธารณะ หรือจะขับรถยนต์ส่วนตัวมาจอดที่โรงแรมก็ได้เช่นกัน โดยชื่อร้านนั้นมาจากการที่ทางร้านเปิดแอร์เพียงแค่ 25 องศาเซลเซียสแบบเดียวกับที่สาขาแม่ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าร้อนในต่างประเทศ แต่ถ้าเป็นในเมืองไทยแค่นี้ก็หนาวแล้ว ภายในร้านจะตกแต่งเป็นสไตล์อเมริกันจ๋า ที่เน้นเป็นกึ่งผับกึ่งนั่งชิว เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งสายปาร์ตี้ หรือกลุ่มเพื่อนกินดื่ม ที่ร้านนี้ก็สามารถให้บริการได้ทุกรูปแบบบรรยากาศแบบอเมริกันที่อุณหภูมิ 25 องศาเมนูอาหารร้านนี้จะเน้นไปที่เบอร์เกอร์ตามชื่อร้าน นอกจากนี้ยังมีเมนูซิกเนเจอร์อีกหลายอย่างที่อร่อยและหารสชาติแบบนี้ไม่ได้จากที่อื่นเช่นกัน ส่วนสายดื่มหนักร้านนี้ก็มีแอลกอฮอล์ให้บริการเช่นกันตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดTraditional Caesarเริ่มต้นกันด้วยเมนูเบาๆ อย่าง Traditional Caesar ราคา 380 บาท สั่งแบบไซส์ Full เพื่อเน้นทานผัก ประกอบไปด้วย Romaine Lettuce หรือชื่อไทยคือผักกาดหวาน คลุกเคล้าด้วยชีสพาร์เมซานเรจจาโน โรยด้วย caper ที่นำไปทอดก่อนและโรยลงไป รสชาติจะเน้นไปที่ตัวผักกาดหวานที่มีความจืดนิดๆ ตัดด้วยความเค็มของชีสพาร์เมซาน และcaper ที่เพิ่มกลิ่นฉุนนิดๆ ทำให้จานนี้ทานได้ง่ายขึ้น รวมทั้งได้ความกรุบกรอบจากตัวผักSweet Potato Fried หรือมันหวานทอดต่อกันด้วย Sweet Potato Fried ราคา 120 บาท มันหวานทอดกรอบเสิร์ฟมาในกระป๋องเหล็ก รสชาติออกหวานและได้รสสัมผัสที่กรอบอร่อย ถึงแม้ว่าจะทานเรื่อยๆ จนเริ่มเย็นแล้ว ก็ยังกรอบอยู่ เหมาะกับทานคู่กับเบอร์เกอร์เป็นอย่างยิ่ง จะจิ้มซอสมะเขือเทศก็ได้ แต่ถ้าแนะนำควรทานแบบไม่จิ้มอะไรเลยBuns on Fire เมนูพิเศษประจำเดือนมิถุนายนจานหลักในวันนี้ เป็นเมนูพิเศษประจำเดือนมิถุนายน กับ Buns on Fire ราคา 499 บาท เบอร์เกอร์เบิร์นไฟที่มีส่วนประกอบหลักๆ 2 ส่วน ตัวเบอร์เกอร์นั้นจะมี เนื้อ U.S. Sirloin ที่สับและมาปั้นเป้นก้อน เบคอน เชดด้าชีส พริกไทย และซอสเบอาร์น (Bearnaise Sauce) ซอสข้นที่คล้ายๆฮอลแลนเดส แต่กลิ่นสมุนไพรเด่นกว่า ส่วนซอสที่เบิร์นไฟนั้นจะผสมระหว่างไวน์แดงกับวิสกี้ของ Rittenhouse ซึ่งตอนที่ราดลงไปแล้วจุดไฟจะลุกขึ้นมา รอจนไฟดับแล้วค่อยทาน รสชาติจะมีความแอลกอฮอล์นิดๆ ในตัวซอส เนื้อดีนุ่มอร่อย ส่วนขนมปังมีความ Juicy นิดๆ ทานได้เพลินๆไส้แน่น เลเยอร์ชัดVanilla Milk Shake เมนูในตำนานของร้านนี้ส่วนเครื่องดื่มที่แนะนำว่าต้องสั่งสำหรับร้านนี้ คือตระกูลมิลค์เชค ซึ่งมีให้เลือกประมาณ 4 รสชาติ แต่ที่อร่อยที่สุดยังต้องยกนิ้วให้กับ Vanilla Milk Shake ที่ใช้วานิลลาแท้ๆ มาทำเป็นไอศกรีมก่อนที่จะนำมาปั่นเป็น Milk Shake และอีกรสชาติที่อร่อยไม่แพ้กันกับ Chocolate Banana ที่อันนี้ใช้ไอศกรีมช็อกโกแลตมาปั่นกับกล้วย โดยจะได้รสชาติของช็อกโกแลตนำมาผสมกับความหวานของกล้วยหอมChocolate Banana Milk Shakeส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าร้านนี้สามารถนำเสนอเมนูเบอร์เกอร์ที่ใครหลายๆ คนอาจจะไม่เห็นคุณค่าของมัน กลายเป็นเมนูขึ้นหิ้งที่ควรค่าแก่การลอง และในแต่ละเดือนก็จะมีเมนูเบอร์เกอร์พิเศษที่บางครั้งจะเป็นการ Co กับเชฟชื่อดังท่านอื่นๆ ในไทย ทำให้การมาทานเบอร์เกอร์ร้านนี้ไม่มีความจำเจแน่นอน แต่กระนั้นเมนูซิกเนเจอร์อื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กัน นะ ทั้ง Milk Shake และ Salad ส่วนการบริการทางร้านก็เน้นไม่แพ้กัน พนักงานจะคอยมาดูเราเรื่อยๆ เผื่อต้องการอะไรเพิ่มเติมโดยที่ไม่ต้องเรียกแต่อย่างใด สำหรับเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านรีวิวนี้แล้ว หากไปทานมาแล้วก็สามารถมา Comment ที่ด้านล่างรีวิวนี้ได้ หรือหากเจอร้านที่คิดว่าเด็ดกว่าก็มาบอกเล่ากันได้ กดแชร์แบ่งปันความอร่อยให้กับเพื่อนๆ และอย่าลืมกดติดตามผู้เขียนเพื่อไม่ให้พลาดรีวิวร้านอาหารใหม่ๆ และเป็นกำลังใจให้กับทางเพจได้รีวิวอาหารต่อๆ ไป 25 Degrees Burgerพิกัดความอร่อย: Pullman G Hotel สีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพเวลาเปิดปิด: ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงเบอร์โทรศัพท์: 023524192 #ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน#บทความดังกล่าวถูกเรียบเรียงและแต่งขึ้นโดยนักเขียนเองทั้งหมด#Burger #American #PullmanGHotel #Dinner สุกี้ในตำนาน 40 ปีกับร้าน COCA ย่านศาลาแดง*STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"* ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี`คลิกเลย https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565
เป็ดน้อยพากิน • 28 มิ.ย. 65
อ่าน
เรียนการลงทุนออนไลน์ฟรี กับ "SET E-Learning" มีใบ Certificate
ปัจจุบันการลงทุนสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นเพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตในมือถือสมาร์ทโฟนก็สามารถทำได้แล้ว สำหรับผู้ที่สนใจการลงทุนผู้เขียนจึงขอแนะนำ คอร์สเรียนการลงทุนออนไลน์ฟรี SET E - Learning จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อเราดูวิดีโอไม่น้อยกว่า 80% ของเวลาเรียนทั้งหมด และทำแบบทดสอบได้คะแนนไม่น้อยกว่า 70% ของคะแนนรวมทั้งหมด ถึงจะสามารถรับใบ Certificate ได้ SET E - Learning มีหลักสูตรด้านวางแผนการเงิน การลงทุน และหลักสูตรสำหรับผู้ประกอบการ ให้เลือกมากมาย เนื้อหาหลักสูตรมีตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับสูง หลักสูตรมีการแบ่งหัวข้อชัดเจนเป็นวิดีโอสั้นๆ ทำให้เวลากลับมาดูย้อนหลังซ้ำจนกว่าจะเข้าใจ โดยไม่ต้องเลื่อนหาให้เสียเวลา ซึ่งผู้เรียนสามารถดาวน์โหลดเอกสารประกอบการเรียนอีกด้วยมาเริ่มเรียนการลงทุนออนไลน์ฟรี SET E - Learning กันเถอะค่ะ1. เข้าใช้งานที่เว็บไซต์ SET E - Learning และเข้าสู่ระบบ สำหรับผู้ที่มีบัญชี SET E - Learning แล้ว สำหรับผู้ที่ไม่มีบัญชี SET E - Learning ให้ทำการสมัครสมาชิกก่อน การสมัครสมาชิกต้องตรวจสอบ ชื่อ นามสกุล และเลขบัตรประชาชน ให้ถูกต้อง เพราะเราจะกลับมาแก้ไขไม่ได้อีก2. เลือกหลักสูตรที่สนใจ ซึ่งในแต่ละหลักสูตรจะมีการบอกรายละเอียด แนะนำหลักสูตรที่ควรเรียนมาก่อนหน้านี้ และบอกถึงระดับของเนื้อหา ที่แบ่งได้ 3 ระดับ คือ ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง3. คลิก "ลงทะเบียน" เพื่อเข้าเรียน เนื้อหาหลักสูตรแบ่งเป็นหัวข้อ และมีเอกสารประกอบการเรียนให้ดาวน์โหลดไว้อ่านเพิ่มเติม โดยการเรียนครั้งแรกนั้นจะมีแบบทดสอบก่อนเรียนให้ทำ ซึ่งถ้าใครไม่แน่ใจคำตอบ ก็สามารถเลือก "ไม่ทราบคำตอบ" ได้ หลักสูตรมีการแบ่งหัวข้อเป็นวิดีโอไม่กี่นาที และคอร์สเรียนไม่มีวันหมดอายุอีกด้วย ทำให้ผู้ที่ไม่มีเวลาว่างกลับมาดูย้อนหลังได้ตลอด4. หากเรียนไม่จบภายในครั้งเดียว เราสามารถกลับมาดูได้ใหม่อีกหลายครั้ง ให้คลิกที่ "หลักสูตรที่ลงทะเบียน" จะเห็นว่ามีหลักสูตรที่เราลงทะเบียนไว้ และคลิกที่หลักสูตรที่เราต้องการ จากนั้นคลิกที่ "เข้าเรียน"5. คลิก "ดาวน์โหลด" ที่หน้าหลักสูตรที่ลงทะเบียน เพื่อรับใบ Certificate การที่จะได้รับใบ Certificate เราต้องดูวิดีโอไม่น้อยกว่า 80% ของเวลาเรียนทั้งหมด ทำแบบทดสอบได้คะแนนไม่น้อยกว่า 70% ของคะแนนรวมทั้งหมด ถึงจะสามารถรับใบ Certificate ได้ แต่ถ้าเราทำแบบทดสอบเพื่อวัดความรู้ไม่ผ่าน ก็สามารถกลับมาทำได้จนกว่าจะผ่าน สำหรับผู้สนใจสามารถเข้าไปเรียนได้ฟรี เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตในมือถือสมาร์ทโฟนก็สามารถเรียนได้แล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินแพงๆ เรียนเลย เพียงแค่นี้เราก็สามารถบริหารจัดการเงินที่มีได้อย่างคุ้มค่าที่สุดแล้วค่ะขอบคุณภาพจาก : ภาพปกโดย Firmbee จาก Pixabay | ภาพประกอบทั้งหมดจากรีวิวโดยนักเขียนบทความอื่นรีวิว Remini แอปฯ เปลี่ยนภาพเบลอให้ชัดขึ้นรีวิว Water Reminder - Daily Tracker แอปฯ เตือนดื่มน้ำ เพื่อคนรักสุขภาพรีวิว Bandsintown Concerts แอปฯ รู้ทันคอนเสิร์ตก่อนใครออกแบบโลโก้สวยๆ ฟรี ด้วย Canva
Mayon • 15 มี.ค. 64
อ่าน
5 Website คอร์สเรียนออนไลน์ ที่ได้รับการันตี Certificate (ไทย)
เป็นที่ทราบกันดีในสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ในปัจจุบันได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ นักเรียน นักศึกษา หรือไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ประกอบกิจการ ต่างก็ได้รับผลกระทบกันไม่มากก็น้อย ถึงกระนั้นแม้ในวิกฤตแบบนี้ ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ถือวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตัวเอง ลับคมสมองและทักษะต่างๆ เพื่อที่รอเวลาที่จะกลับไปเผชิญกับโลกภายนอกเมื่อพ้นวิกฤตไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และในวันนี้พี่จืดจะมาแนะนำ 5 เว็บไซต์คอร์สเรียนออนไลน์ ที่ได้รับการรับรองสากล และสอนโดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำ เหมาะกับการนำไปต่อยอด และเรียนรู้ด้วยตัวเองง่ายๆ ได้ที่บ้าน 1. Thai MOOCThai MOOC เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์ของมหาวิทยาลัยในไทย มีหลากหลาย และครอบคลุม โดยมากจะมีแบบฝึกหัดทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียนให้ทำ มี Quiz และมี Discussion Board สำหรับถามข้อสงสัยโดยตรง นอกจากนี้ยังมีการติดตามผลการเรียน และสรุปคะแนนในแต่ละบทที่เราได้เรียนอีกแล้วไปด้วย โดยเว็บไซต์นี้เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานรัฐและมหาวิทยาลัยไทยหลายๆ แห่ง ในการจะลงเรียนแต่ละครั้งนั้น จะมีเวลาการเปิดปิดการลงทะเบียนที่จะแจ้งให้ทราบในเว็บไซต์อย่างชัดเจน2. CHULA MOOC CHULA MOOC เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์จากคณะต่างๆ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สอนโดยอาจารย์ประจำภาค โดยส่วนมากจะเปิดให้ลงสมัครก่อนเรียนเป็นรุ่นๆ โดยใช้ VDO กับ Quiz เข้าเรียนได้ฟรี จำกัดช่วงเวลาในการลงทะเบียน มีประเมินว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ถ้าหากสนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ใน Facebook ของ CHULA MOOC ได้เช่นเดียวกัน 3. SkillLene SkillLenne เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์ไว้หลากหลายและผู้สอนที่มากหน้าหลายตา มีสอนตั้งแต่เรื่องการเงินพื้นฐานยันทำอาหารเพราะเว็บไซต์นี้เกิดมาจาก Start Up สายการศึกษา คอร์สที่มีจะเน้นการใช้งานในชีวิตจริง อย่างการเงินการลงทุน การพัฒนาตัวเอง การใช้โปรแกรมต่างๆ โดยจะสอนโดยผู้เชี้ยวชาญหรือหน่วยงานในสาขานั้นๆ เว็บไซต์ออกแบบมาหน้าตาค่อนข้างเรียบง่าย ใช้ง่าย ตรงไปตรงมา และช่วงนี้ยังมีโปรโมชั่นลดราคาคอร์สเรียนสูงสุดถึง 500 บาท และที่สำคัญในเว็บไซต์นี้ยังมีหลักสูตร ปริญญาโท ออนไลน์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกด้วย 4. YourNextU YourNextU เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์ซึ่งพิเศษตรงที่สามารถเลือกที่จะเลือกเรียนผ่านเว็บไซต์ หรือเลือกที่จะ Work Shop แลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ด้วยตัวเอง โดยทางเว็บไซต์ได้นำเสนอแนวทางการเรียนรู้ที่ตัวเองมีถึง 4 รูปแบบ ดังนี้Classroom Learning - เรียนพร้อมผู้เรียนคนอื่นๆ ในคลาสครึ่งวันSocial Learning - เรียนผ่านกิจกรรมด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์จากผู้เรียนด้วยกันOnline Learning - การเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ทุกที่ ทุกเวลา กับทักษะและคอนเทนต์ที่เราคัดสรรมาแล้วว่าดีที่สุดLibrary - ทบทวนได้เมื่อต้องการ ด้วยคลังความรู้ที่ดาวน์โหลดได้ไม่จำกัดทั้งความรู้ และคำแนะนำต่างๆ5. Skooldio Skooldio เป็นเว็บไซต์รวบรวมคอร์สเรียนออนไลน์ด้านเทคโนโลยี Data Science มีสอนพวก Machine Learning, Deep Learning ซึ่งเป็นสิ่งเด่นๆ ที่เว็บไซต์นี้นำเสนอดั่งคำเปรยหน้าเว็บไซต์ที่ว่า "เราคือบริษัทเทคโนโลยี ที่ตั้งใจจะพัฒนาเครื่องมือด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การเรียนและการสอนมีประสิทธิภาพสูงสุด" นอกจากนี้ก็ยังมีคอร์สเกี่ยวกับ Graphic Design, ธุรกิจ อีกด้วย และเว็บไซต์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ส่วนตัวพี่จืดเองก็เคยได้ใช้เองและเรียนเองอยู่เป็นช่วงๆ ตามโอกาสที่เหมาะสม (โดยเฉพาะช่วงนี้ ) และขอบอกได้เลยว่าถ้าหากตั้งใจมุ่งมั่นกับมัน การเรียนออนไลน์ ก็แทบไม่แตกต่างจากเรียนในห้องเรียนเองเลย มีแบบฝึกหัดทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน บางหลักสูตรก็มีแบบประเมินตนเอง ให้ได้รู้ถึงสิ่งที่ตัวเองพัฒนาจากการเรียนอีกด้วย และสุดท้ายนี้ พี่จืดขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีสติกับสถานการณ์ปัจจุบัน และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน ผ่านพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปด้วยกันนะครับ และสามารถติดตามบทความเกี่ยวกับแหล่งเรียน Online ฟรีอื่น ๆ ได้ โดยคลิกที่ https://bit.ly/2LI0hpwCover Photo : Photo by Julia M Cameron from Pexelsภาพที่1 โดย https://thaimooc.orgภาพที่2 โดย https://mooc.chula.ac.thภาพที่3 โดย https://www.skilllane.comภาพที่4 โดย https://www.yournextu.comภาพที่5 โดย https://www.skooldio.com
จืด • 19 พ.ค. 63
อ่าน
SkillLane รีวิวขั้นตอนการสัมนา/อบรมออนไลน์ ฟรี พร้อมใบ Certification ฟรี นะจ๊ะ !!!
การสัมมนาออนไลน์ฟรี พร้อมได้รับใบรับรองที่ได้มาตรฐาน สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้น้ำมีเว็บไซต์เกี่ยวกับสัมนา, อบรมออนไลน์ แบบทั้งฟรี หรือเสียเงิน (ในราคาประหยัด) แถมยังได้ความรู้ครบถ้วย อัดแน่น + ใบรับรอง (Certificate) ที่น่าเชื่อถือด้วยค่ะ และมีข้อดีหลายประการดังนี้1. ความสะดวกสบาย: การสัมมนาออนไลน์ให้ความยืดหยุ่นในการเข้าร่วมได้จากทุกที่ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทาง คุณสามารถเข้าร่วมได้จากที่บ้านหรือที่ทำงานของคุณเอง ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเงินในการเดินทาง2. คุ้มต้นทุน: โดยทั่วไปการสัมมนาออนไลน์จะมีค่าธรรมเนียมการลงทะเบียนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกิจกรรมแบบเจอหน้ากัน นอกจากนี้ คุณยังประหยัดค่าเดินทาง ที่พัก และค่าอาหาร ซึ่งส่งผลให้ประหยัดต้นทุนได้มาก3. เข้าถึงได้ทั่วโลก: ด้วยการสัมมนาออนไลน์ ขอบเขตทางภูมิศาสตร์จึงไม่ใช่ข้อจำกัดอีกต่อไป คุณสามารถเข้าร่วมการสัมมนาที่จัดโดยผู้เชี่ยวชาญและผู้นำทางความคิดจากทั่วโลก เพื่อขยายเครือข่ายของคุณและเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย4. ระหยัดเวลา: การสัมมนาออนไลน์มักจะมีระยะเวลาสั้นกว่าเมื่อเทียบกับกิจกรรมแบบเจอหน้ากัน ซึ่งช่วยประหยัดเวลาเนื่องจากคุณสามารถเข้าร่วมได้หลายเซสชันในวันเดียวโดยไม่ต้องหยุดพักยาวหรือใช้เวลาเดินทาง5. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การสัมมนาออนไลน์ช่วยลดความจำเป็นในการเดินทาง โดยช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและส่งเสริมความยั่งยืน..เอาล่ะ พร้อมแล้ว เราก็มาเริ่มกันเลยนะคะ น้ำขอยกมาเป็นยกอย่างเว็บไซต์นึงก่อนแล้วกันนะคะ (ถ้าผลการรับดีจะมาอัพลงให้อีกเยอะ ๆเลยค่ะ)ก่อนอื่นเลย เพื่อนๆ ต้องเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกการนะคะ ที่เว็บไซต์ https://www.skilllane.com/ (กดได้เลยจ้า น้ำแอดลิ้งไว้ในแล้ว สมัครฟรีเด้อออออ!!!)เมื่อเพื่อนๆ กดลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่ระบบ เพื่อมาเลือก เนื้อหาที่เพื่อนๆ สนใจ หรือ ต้องการเรียน สัมนา อบรมเพื่อเพิ่มความรู้ ได้เลยนะคะ ซึ่งใน SkillLane นั้น มีหลายหลักสูตร และ หลากหลายราคาในเพื่อนๆ ได้เลือกสรรตามใจชอบเลยจ้า มีให้ติ๊กเลือกหมวดหมู่ต่างๆ ด้วยนะจ๊ะ และที่สำคัญมีครอสฟรี ที่ดีมากๆ ด้วยยยย ตัวอย่างของน้ำที่ลงเรียนเองนะคะ น้ำได้เลือกครอวเรียนฟรีค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสรุปสาระสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับระบบการจัดการด้านความปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยท่านวิทยากร วชิรวิชญ์ มธุรสสุวรรณ ค่ะ ท่านสอนดีมาก มี data sheet เรียนให้ด้วยค่ะ เนื้อหาละเอียด อธิบายชัดเจน และเข้าใจง่าย ที่สัคัญ มีขอสอบ ก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยนะคะ ซึ่งเป็นครอสเรียนที่ได้ใบรับรอง (Certificate) แต่เพื่อนๆ ต้องสอบให้ได้ 8/10 คะแนน นะคะ มีโอกาสสอบเพียง 1 ครั้งเท่านั้นค่ะ มีรายละเอียดครอสดังนี้นะคะ เมื่อเพื่อนๆ เรียนจบครบตามชั่วโมงเรียน และสอบผ่านตามเกณฑ์กำหนด เพื่อนๆ จะได้ใบรับรองประมาณนี้ค่ะ (รูปตัวอย่างใบรับรอง) เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับการเรียนรู้ การสัมนา ทั้งทางวิชาการ ภาษา เศรษฐกิจ การลงทุนต่างๆ หรือแม้กระทั่งการฝึกพัฒนาตัวเอง น้ำเป็นกำลังใจทุกคนที่กำลังพัฒนา เรียนรู้ด้วยตัวเองกันนะคะ @เครดิตภาพทั้งหมดจาก: แคประหว่างใช้งานโดย NamPhasinee
NamPhasinee • 6 พ.ย. 66
ดูเพิ่มเติม